9.2.54

พุทธทำนาย


       

          ในสมัยพุทธกาล ณ ราตรีหนึ่ง พระยาปัตเวน หรือ พระเจ้าปเสนทิโกศล จอมกษัตริย์ แห่งกรุงสาวัตถีได้ทรงพระสุบินนิมิต(ฝัน) ถึงเหตุประหลาด ๑๖ ประการ จนสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม ทรงหวาดหวั่นเป็นกำลัง เมื่อไต่ถามพราหมณ์ปุโรหิตให้พยากรณ์ ก็มีคำพยากรณ์ออกมาว่าจะเกิดอันตรายขึ้น ๓ ประการ คือ ๑. อันตรายแก่ราชสมบัติ ๒. อันตรายแก่พระมเหสี ๓. อันตรายแก่พระชนม์ชีพของพระองค์ ผลคำพยากรณ์พระสุบินนิมิตนี้ เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ พราหมณ์ได้กราบทูลให้จับสัตว์มาอย่างละ ๔ ตัวเพื่อทำพิธีบูชายัญ

          เรื่องนี้พระนางมัลลิกา (พระมเหสี) ได้ไปทูลถามพระพุทธองค์ พร้อมกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงพระสุบินนิมิตอันแปลกประหลาด จึงได้รู้ความจริงจากพระบรมศาสดาว่า "มหาสุบินนิมิต ๑๖ ประการนั้น จะไม่บังเกิดในขณะนั้น และมิได้บังเกิดในรัชกาลของพระองค์ " จึงทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเลิกพิธีจับสัตว์มาบูชายัญเสีย ด้วยจะเป็นกรรมเวรสืบกันไป และไม่บังเกิดผลดีอย่างไร

          การที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงพระสุบินนิมิตเหตุประหลาดถึง ๑๖ ประการนั้นเป็นเพราะเทวดาคงจะต้องการบอกเหตุ โดยอาศัยพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นสื่อ และยังได้ดลใจให้ไปทูลถามพระพุทธองค์จึงได้เกิดคำพยากรณ์ขึ้นเป็นวิสามัญเหตุ และอุบัติการณ์ที่อยู่ในข่ายพระบารมีของสมเด็จพระบรมศาสดาจะได้ทรงตรัสคำพยากรณ์อันเป็นอมตะนี้ ซึ่งรายละเอียดของพระสุบิน และคำพยากรณ์ เป็นอย่างไรก็ขอเชิญท่านผู้อ่านได้สดับ และวินิจฉัยเป็นข้อ ๆ ดังนี้

ข้อ ๑. ในสุบินว่า"ได้เห็นโคอุสุภราช สีดำ ๔ ตัว มาแต่ทิศทั้ง ๔ ทำอาการเหมือนจะชนกันที่หน้าพระลานหลวง ครั้นมหาชนมามุงดูโคอุสุภราชทั้ง ๔ ทำเหมือนจะชนกันจริง ๆ ส่งเสียงคำรามร้องกึกก้อง แล้วต่างตัวต่างก็ถอยหลังไปไม่ชนกันอย่างที่คิด"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "จะมีเมฆดำตั้งขึ้นในทิศทั้ง ๔ เสียงฟ้าลั่นอยู่ครืน ๆ ทำทีเหมือนฝนจะตกแต่ก็มิตก ทำให้เกิดการเสียหายแก่พืชผลเกิดข้าวยากหมากแพงในประเทศ"

ถ้านำเอาพุทธพยากรณ์มาเปรียบเทียบกับดวงดาวในวิชาโหราศาสตร์ "โคอุสุภราชสีดำทั้ง ๔ตัว สีดำ ก็คือ ดาวเสาร์ ซึ่งหมายถึงความทุกข์ยากแห้งแล้ง ส่วนโคอุสุภราช หมายถึง เมฆฝน เพราะเป็นสัตว์สวรรค์บนท้องฟ้า คล้ายเมฆดำอันหมายถึงโคดำนั่นเอง"

ข้อ ๒. สุบินว่า "เห็นต้นไม้และกอเล็ก ๆ ผุดขึ้นจากดินแล้วเจริญขึ้นโดยลำดับ ผลิตดอกออกผลในขณะที่เล็กๆอยู่นั้น"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "โลกสมัยต่อไปจะเสื่อม อายุผู้คนจะสั้นแต่กิเลสกลับร้อนแรงขึ้น จะสมสู่กันแต่เล็ก ๆ จนเกิดลูกหลานเมื่ออายุยังน้อย เหมือนต้นไม้เล็กมีดอกผลฉะนั้น"

          พุทธทำนายข้อนี้ ปัจจุบันได้บังเกิดให้เห็นกันบ้างแล้ว ถึงแม้ความเจริญทางด้านการแพทย์จะสูงขึ้น แต่คนก็ยังอายุสั้นและตายกันง่ายอยู่ดี เพราะสภาพมลภาวะที่เป็นพิษและอาวุธที่ทันสมัย ฆ่ากันให้ตายได้ในพริบตาเดียว นี่ขนาดยังไม่รวมถึงโรคร้ายที่รักษาไม่หาย เช่น เอดส์ หรือ มะเร็ง ส่วนการที่คนมีกิเลสตัณหามากขึ้น มีการสมสู่กันแต่เล็ก ๆ 

ข้อ ๓. สุบินว่า "แม่โคดูดนมลูกโค ซึ่งเกิดในวันนั้น"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า " ต่อไปการเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ จะเสื่อมถอยลง และในทางตรงกันข้าม ผู้ใหญ่ต่างหากจะต้องประจบเด็ก เหมือนแม่โคดูดนมลูกโคฉะนั้น"

          ในปัจจุบันผู้ใหญ่ในความคิดของเด็ก ๆ เหมือนหัวหลักหัวตอ ที่จะมาเคารพนบไหว้นั้นไม่ค่อยจะมีให้เห็น เมื่อสัก ๕ หรือ ๖ ปี มานี้ ได้มีลัทธิอุบาทว์ เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย มีคนหลงเข้าไปเป็นสาวกอยู่มาก มาจากพวกเกาหลีหรือญี่ปุ่นนี่แหละ มีการสอนให้ทำสมาธิ สอนไปสอนมาดันสอนออกมาได้ว่า "พ่อแม่มีหน้าที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดู ไม่ได้ถือเป็นบุญคุณอะไร" ตอนหลังกระทรวงศึกษาธิการทราบเข้า ก็เลยสั่งปิดสำนักต่าง ๆ ไปเสียหลายแห่ง และห้ามนำมาเผยแพร่เด็ดขาด 

          เรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องมาประจบเอาอกเอาใจเด็กก็เหมือนกัน มีให้เห็นกันดาษดื่น ประเภทรักลูกโอ๋ลูกจนลูกเสียคน ดูอย่างนายพลคนหนึ่งที่ลูกชายไปก่อเวรสร้างกรรมกับภรรยา ที่มีดีกรีเป็นถึงรองนางสาวไทยและยังไปก่อกรรมกับชาวบ้านทำให้เดือดร้อนกันทั่ว แม้กระทั่งตำรวจบนโรงพักยังโดนเลย แต่แทนที่ผู้เป็นพ่อจะเห็นกับคุณธรรมหรือส่วนรวม กลับเข้าข้างลูกตนชนิดดำเป็นขาวทีเดียว 

ข้อ ๔. สุบินว่า "เห็นคนเอาโคกำลังเอกหรือมีพละกำลังแข็งแรง ปล่อยปละเอาไว้ไม่นำเข้าเทียมแอก แต่กลับนำเอาโครุ่นที่ปราศจากกำลังมาใช้เทียมแอกแทน ซึ่งเจ้าโครุ่นเมื่อไม่สามารนำเกวียนแล่นได้ ก็สลัดแอกนั้นเสีย" (โครุ่น เปรียบเหมือนเด็กวัยรุ่น ๑๕-๑๖, โคกำลังเอก เหมือนผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์)

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปผู้มีปัญญาจะไม่ได้รับการยกย่องในหน้าที่ราชการ แต่ยศศักดิ์จะถูกนำไปให้แก่หนุ่มโง่ ๆ ซึ่งไม่สามารจะปฏิบัติราชการให้ดีได้ เหมือนคนปล่อยโคมีกำลังออกแล้วนำโครุ่นมาเทียมแทนนั้น"

          ข้อนี้จริงแท้แน่นอน เหมือนกับคำพังเพยที่ว่า "ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน" ฉันใดก็ฉันนั้นขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่จะเสียกรุงครั้งที่ ๑ ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหินทราธิราช ที่ทรงหลงกลพระเจ้าบุเรงนองที่แกล้งปล่อยพระยาจักรี ที่ถูกจับได้ในสงครามคราวก่อนให้มาเป็นไส้ศึก เมื่ออำนาจการบัญชาการสูงสุดในการป้องกันพระนครตกอยู่กับคนชั่วอย่างพระยาจักรี มันก็แกล้งสับเปลี่ยนตำแหน่งให้คนอ่อนแอไม่เอาไหนอยู่ด้านหน้า คนดีมีฝีมือก็ย้ายไปอยู่เสียด้านอื่นที่ไม่มีข้าศึกมาประชิด หากใครกล้าหือก็จะถูกกำจัดเสียด้วยเล่ห์กลต่าง ๆ และอำนาจที่มีอยู่ขนาดพระศรีเสาวภาคย์ พระอนุชาแท้ ๆ ของพระมหินทร์ ที่มีความสามารถมากในการป้องกันพระนครยังถูกใส่ความว่าจะเป็นกบฎจนต้องพระราชอาญาถึงประหารชึวิตในที่สุด

ข้อ ๕. สุบินว่า "เห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองข้าง คนสองคนยื่นข้าวให้ม้าคนละปาก ม้าเคี้ยวข้าวกล้าด้วยปาก ๒ ข้างนั้น”

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า ต่อไปผู้ใหญ่ในประเทศจักโลเล ไม่ยุติธรรม รับสินบนจากคู่ความทั้งสองฝ่าย แล้วตัดสินตามใจชอบของตน เอาแต่สินบนเป็นประมาณ เหมือนม้าเคี้ยวข้าวกล้าด้วยปากทั้งสองข้างฉะนั้น

          ท่านผู้อ่านคิดว่าคนประเภทเห็นสินบนเป็นสรณะ ดั่งพุทธทำนายมีไหมครับในปัจจุบัน หรือหลังจากพุทธกาลล่วงมาแล้ว ถ้านึกไม่ออกลองหาละครประวัติศาสตร์ของไทย เช่น เรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , สมเด็จพระศรีสุริโยทัย หรือละครจีนเรื่อง เปาบุ้นจิ้นมาดูซิครับ คงจะเห็นภาพพจน์ ตามพุทธทำนายได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกระมัง

ข้อ ๖. สุบินว่า "คนเอาถาดทองคำราคาแสนตำลึง เอาไปให้สุนัขจิ้งจอก แล้วสุนัขนั้นก็ถ่ายปัสสาวะในถาดทองคำนั้น"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปคนดีมีตระกูลจะยากไร้สิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำจะได้เป็นใหญ่ ผู้มีตระกูลจะยกลูกสาวให้แก่ผู้ไม่มีตระกูล เหมือนสุนัขจิ้งจอกถ่ายปัสสาวะลงในถาดทองคำนั้น"

          เคยได้ยินคำว่า "ผู้ดีตกยาก" ใช่ไหมครับ แล้ว "ขี้ข้าครองเมือง" ล่ะ ก็คงได้ยินเหมือนกัน เมื่อก่อนนี้มีคำพังเพยว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่ากับหนึ่งพระยาเลี้ยง" แต่สมัยปัจจุบันนี้ คำพังเพยข้อนี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะพวกพ่อค้านักธุรกิจทั้งหลายต่างก็มียศศักดิ์เป็นถึงรัฐมนตรีหรือเสนาบดีหลายต่อหลายท่าน พวกข้าราขการประจำน่ะหรือ ขืนไม่เป็นสนลู่ลมล่ะก็มีหวัง เด้ง ดึ๋ง ดึ๋ง แน่ ดีไม่ดีหากอยากก้าวหน้าหรือรักษาเก้าอี้เอาไว้ ถ้ามีลูกสาวสวย ๆ ล่ะก็ อาจจะนำไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่ท่านผู้เป็นใหญ่ที่มาจากตระกูลต่ำต้อย สมดังพุทธทำนายก็ได้นะครับ

ข้อ ๗. สุบินว่า " เห็นบุรุษหนึ่งนั่งฟั่นเชือกอยู่บนตั่ง หย่อนปลายเชือกที่ฟั่นแล้วห้อยไปใต้ตั่งสุนัขจิ้งจอกตัวเมียนอนอยู่ใต้ตั่งหิวจัด ได้กัดกินเชือกที่บุรุษฟั่นนั้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งฟั่นก็ยิ่งหมดลงไปทุกทีแต่บุรุษนั้นหารู้ไม่"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า " ต่อไปหญิงทั้งหลายจะเหลาะแหละกับผู้ชายและชอบเสพสุรา ชอบซื้อแต่เครื่องประดับตกแต่งตน ชอบทำเสน่ห์ยาแฝด มิได้เหลียวแลการบ้าน ชอบคบชู้ จะผลาญทรัพย์ที่สามีหามาได้ด้วยความลำบากให้หมดสิ้นไป เหมือนนางสุนัขจิ้งจอกหิวจัด เคี้ยวเชือกที่บุรุษฟั่นนั้นให้หมดไป"

ข้อ ๘. สุบินว่า " ได้เห็นกระออมใหญ่ใบหนึ่งมีน้ำเต็มและมีโอ่งเปล่าล้อมกระออมใหญ่อยู่หลายใบ มีคนมาตักน้ำจาก ๘ ทิศ เทลงในกระออมที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว แทนที่จะเทลงในโอ่งเปล่าที่ไม่มีน้ำ ดังนั้นน้ำในกระออมจึงไหลล้นออกมา "

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "คนที่รวยอยู่แล้วยิ่งมีคนยากจนมาหารายได้ให้ หรือส่งเสริมให้รวยมากขึ้น การที่คนจนมาทำงานส่งเสริมให้คนรวย แทนที่จะสร้างฐานะให้ตนเองร่ำรวย ก็เหมือนคนที่มาตักน้ำใส่กระออมอันมีน้ำเต็มอยู่นั่นเอง”

ข้อ ๙. สุบินว่า "สระใหญ่แห่งหนึ่งมีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม มีท่าขึ้นลงอยู่รอบสระ สัตว์ต่าง ๆ พากันลงมาดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่ริมสระน้ำจะขุ่นเพราะสัตว์ลงมาดื่มกิน น้ำกลับใส ส่วนที่กลางสระที่สัตว์ต่าง ๆ พากันไปไม่ถึงนั้นแทนที่น้ำจะใสกลับขุ่น"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปผู้เป็นใหญ่ในประเทศจะไม่ตั้งอยู่ในธรรม มักรีดนาทาเร้นราษฏรในเมืองหลวง ทำให้ราษฏรทนไม่ได้ก็เลยอพยพไปอยู่ยังชายแดนหมด เมืองหลวงก็ว่างเปล่าไม่มีคนส่วนชายแดนหนาแน่นด้วยผู้คน เหมือนกลางสระน้ำขุ่นริมสระน้ำใสนั้น"

          ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายก่อนเสียกรุง มีผู้คนไม่น้อยที่อพยพหลบหนีภัยสงครามบ้าง ภัยจากพวกขุนนางฉ้อฉลบ้าง ออกไปอยู่นอกเมืองหรือจะเรียกว่า "เข้าไปอยู่ในป่าก็ได้" แม้กระทั่งพระยาวชิรปราการ หรือพระยาตาก(สิน) ก็ยังรวบรวมสมัครพรรคพวก ฝ่าวงล้อมพม่าออกไปตั้งมั่นยังหัวเมืองชายฝั่งตะวันออกเลยเพราะทนความเหลวแหลกของผู้เป็นใหญ่ในสมัยนั้นไม่ไหว

ข้อ ๑๐. สุบินว่า "เห็นข้าวหุงในหม้อใบหนึ่ง มี ๓ อย่าง คือ ข้างหนึ่งดิบ ข้างหนึ่งเปียก อีกข้างหนึ่งเป็นท้องเลน"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปเมื่อคนไม่อยู่ในศีลธรรมแล้ว ฝนก็จะไม่ตกโดยทั่วถึง ส่วนที่ไม่ตกเลย ข้าวกล้าก็เหี่ยวแห้ง ส่วนตกพอดีข้าวกล้าก็งอกงาม เหมือนข้าวสุกในหม้อเดียวกันมีเป็น ๓ อย่าง"

ข้อ ๑๑ . สุบินว่า " เห็นคนเอาแก่นจันทน์ราคาแสนตำลึง ไปแลกกับนมโคที่เสีย"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปภิกษุอลัชชีไม่มียางอาย จะนำธรรมที่ตถาคตกล่าวติเตียนความโลภ ไปแสดงให้คนอื่นละความโลภ แล้วพากันบริจาคจตุปัจจัยให้แก่ตน ภิกษุอลัชชีเหล่านั้นจะเที่ยวไปนั่งแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ เพื่อหวังลาภ เหมือนคนเอาแก่นจันทน์อันมีค่า(ธรรมของพระพุทธองค์)ไปแลกกับนมโคเสีย(ทรัพย์สินเงินทองที่คนพากันมาบริจาค)"

          การติดกัณฑ์เทศน์ หรือการถวายจตุปัจจัยไทยทานแก่พระภิกษุสงฆ์ที่นั่งแสดงธรรมบนธรรมมาสน์นั้นเริ่มมีมาแต่สมัยใด เพราะผมเชื่อแน่ว่าในสมัยพุทธกาลไม่มีการกระทำเช่นนี้ในบรรดาเหล่าอุบาสกอุบาสิกาแน่นอน มิเช่นนั้นพระพุทธองค์ท่านคงไม่ทรงมีพุทธทำนายเช่นนี้

          ในเกร็ดประวัติตอนหนึ่งของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพ ฯ เนื่องจากท่านเป็นพระนักเทศน์ หรือ "ธรรมกถึกเอก" ในสมัยนั้น กิจนิมนต์การเทศน์ของท่านจึงมีมาก ไปเทศน์ครั้งหนึ่ง ๆ ได้ข้าวของเครื่องใช้ ผลหมากรากไม้เป็นลำเรือทีเดียว แต่ท่านก็หาได้มีความโลภในอามิสที่ได้รับไม่ อย่างเช่นคราวหนึ่งในขณะที่กลับมาถึงวัดหลังกิจนิมนต์เทศน์ เจ้าลูกศิษย์วัดสองคนที่ช่วยกันพายเรือพาท่านไปนั้น ได้เกิดเถียงกันในส่วนแบ่งข้าวของที่ติดกัณฑ์เทศน์ว่า" กองนี้ของข้าส่วนกองนั้นเป็นของเอ็ง " เจ้าอีกคนหนึ่งเห็นว่ากองที่ตนได้มันน้อยไม่คุ้มค่าเหนื่อย ก็เกี่ยงงอนว่า "เฮ้ยไม่ได้ ของข้าต้องกองนี้ เอ็งเอากองนั้นไป " เถียงกันอยู่นั่นแหละครับ จนสมเด็จโตท่านคงรำคาญ เลยตัดบทพูดสัพยอกไปว่า "แล้วของฉันล่ะกองไหน" เท่านั้นแหละครับถึงยุติการถกเถียงกันลงไปได้ เพราะในการไปเทศน์แต่ละครั้งนั้น ท่านไม่ได้เคยนึกอยากจะไปเทศน์เพราะหวังในอามิสแม้แต่ครั้งเดียว ข้าวของที่ได้มา ลูกศิษย์มักจะแบ่งกันไป หรือไม่เช่นนั้นท่านก็จะนำไปให้พระ เณร รูปอื่น หรือคนยากไร้ทุกครั้งไป นี่แหละครับ "เนื้อนาบุญอันเลิศของโลก" ที่แท้จริงและหาได้ยากในสมัยปัจจุบัน

ข้อ ๑๒. สุบินว่า " ได้เห็นน้ำเต้าที่เขาคว้านไส้ออก เหลือแต่เปลือกเปล่า ซึ่งควรจะลอยน้ำแต่กลับจมดิ่งลงในน้ำ "

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปถ้อยคำของคนชั่ว ไม่มีศีล ไม่มีธรรม จะมั่นคง ส่วนถ้อยคำของคนดีมีศีลธรรม จะอับเฉา เหมือนน้ำเต้าเปล่าแต่จมน้ำ "

ข้อ ๑๓. สุบินว่า "ได้เห็นหินก้อนใหญ่ ประมาณเท่าเรือนลอยอยู่บนผืนน้ำ เหมือนสำเภาหรือเรือใหญ่ ๆ ฉะนั้น "

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า " ต่อไปคนดีมีศีลธรรมจะไม่มีใครเคารพนับถือ จะเคารพนับถือแต่คนชั่วไร้ศีลไร้ธรรม เหมือนหินลอยน้ำฉะนั้น"

ข้อ ๑๔. สุบินว่า "เห็นนางเขียดเล็กตัวหนึ่ง วิ่งไล่งูเห่าตัวใหญ่ไปโดยกำลังเร็ว แล้วกัดงูเห่ากลืนกิน"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปสามีจะอยู่ในอำนาจของภรรยา จะถูกภรรยาด่าว่าเช่นคนรับใช้เหมือนนางเขียดกินงูเห่าฉะนั้น"

ข้อ ๑๕. สุบินว่า "ได้เห็นหงส์ทองแวดล้อมด้วยกาในที่ต่างๆ "

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า " ต่อไปผู้มีตระกูลจะต้องเที่ยวประจบสวามิภักดิ์ผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกาฉะนั้น "

ข้อ ๑๖. สุบินว่า "ได้เห็นแพะไล่ติดตามเสือเหลือง แล้วกินเสือเหลืองเสีย ภายหลังเสืออื่น ๆ เห็นแพะแต่ไกลก็เกิดความหวาดกลัว พากันวิ่งหนีหลบซ่อนไปในที่ต่าง ๆ"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปศิษย์จะสู้ ครูผู้น้อยจะข่มเหงผู้ใหญ่ คนดีจะถูกคนชั่วเบียดเบียนและจะต้องหลบหลีกซ่อนเร้นไปเพราะกลัวเหมือนเสือหนีแพะฉะนั้น"


          จากพุทธทำนายทั้ง ๑๖ ข้อ จะสังเกตเห็นได้ว่า "เมื่อความเจริญทางด้านวัตุมีมากขึ้นเท่าไร ในส่วนที่เป็นความเจริญในด้านจิตใจ ก็จะต่ำทรามลงมากเท่านั้น และจะต่ำถึงที่สุดถึงขั้นกลียุคเลยทีเดียว "

          ในสมัยพุทธกาลหรือโบราณกาลนั้น สังคมมนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข เพราะสภาพสังคมที่เอื้ออำนวยในทางที่ดี อยู่ในครรลองของศีลธรรม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัวที่มีสามี(พ่อ)เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือ "ช้างเท้าหน้า" มีภรรยา(แม่) เป็นผู้คอยให้การสนับสนุน ช่วยดูแลบ้านเรือน อบรมกุลบุตร กุลธิดาและบ่าวไพร่ในบ้านให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยหลักแห่งพระพุทธศาสนาและจารีตประเพณีที่งดงาม เมื่อหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมสงบสุขเรียบร้อยแล้ว สังคมโดยส่วนรวมย่อมจะสงบสุขเรียบร้อยไปด้วยเช่นเดียวกัน

          แต่ยุคปัจจุบันพุทธทำนายของพระพุทธองค์ได้ปรากฎเด่นชัดให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมของจิตใจที่ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่สงบสุขเหมือนดังแต่ก่อน ซึ่งเราท่านจะไปตีโพยตีพายโทษใครคนหนึ่งคนใดหาได้ไม่ เพราะมันเป็น "วัฎจักรแห่งธรรม" (ธรรมชาติ) มันย่อมมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แม้แต่พระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาเอง เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระศาสนาแล้ว พระองค์ยังทรงมีพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับอายุของพระศาสนาไว้เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ซึ่งนับว่ามีอายุน้อยที่สุดในภัทรกัปป์นี้ก็ว่าได้


                                                          กลับ