เรื่องพุทธทำนาย หรือ พุทธฏีกาพยากรณ์ของพระพุทธองค์นั้น ได้มีการเผยแพร่แก่สาธารณชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหล่าพุทธบริษัท ผู้ยึดมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานหลายร้อยปีทีเดียว ทั้งจากคำบอกเล่าของพระเถรานุเถระที่เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เล่าสืบต่อกันมา มีการบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์พุทธศาสนา แม้กระทั่งที่อินเดียเองในเขตมหาวิหารสวนมฤคทายวัน อันเป็นที่แสดงธรรมโปรดแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรบนแผ่นหิน หรือ "ศิลาจารึก" (เข้าใจว่าเป็นภาษามคธ หรือภาษาบาลี) และในส่วนที่เป็นภาษาไทยที่มีการพิมพ์เผยแพร่ดังท่านได้อ่านท่านพระอาจารย์จรัญ ฐิตธัมโม แห่งวัดอัมพวัน สิงห์บุรี
สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้น เมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้น เมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดในยุคนั้นจะพบแต่ความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลายแผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ
คนในสมัยนั้น(คือปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎแห่งธรรมชาติไม่พ้น
เริ่มแต่พระพุทธศาสนาล่วงเลย ๒,๕๐๐ ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงเผาผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยากผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาด โลกดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมเชื่อคำของคนโกงกล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติปฏิบัติดี กลับไม่มีใครเคารพยำเกรง
พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์อยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวรรษา
ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อนับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีล ๕ ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษรู้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล
พระพุทธทำนายหรือพุทธฏีกาพยากรณ์ดังว่านี้ พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสแก่พระอานนท์ พระพุทธอนุชา ซึ่งปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดจวบจนเสด็จสู่ปรินิพพาน อันพระอานนท์นั้นนับได้ว่าเป็นผู้ที่ฟังธรรมของพระพุทธองค์มากที่สุด เป็นบุคคลสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ ๑ ท่านเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ ท่านได้ถ่ายทอดหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ยินได้ฟังมา แก่ที่ประชุมสงฆ์ และได้ใช้เป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาจนทุกวันนี้
เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนา ได้ทรงมีพุทธดำรัสว่า ศาสนาของพระพุทธองค์นั้น จะมีอายุเพียง ๕,๐๐๐ ปี เท่านั้น ต่อจากนั้นโลกก็จะว่างจากศาสนา อยู่ในช่วงกลียุคจวบจนถึงวาระอันควร โลกก็จะอุบัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาใหม่อีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย์" เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ นับเป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปป์นี้
ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสถามแก่พระอานนท์ว่า ในศาสนาของตถาคตรวม ๕,๐๐๐ ปีนี้ใครจะขออะไรบ้าง
- พระอานนท์ก็ทูลขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ดูแลและบำรุงพระศาสนาเป็นเวลา ๒,๕๐๐ปี
พระพุทธองค์ก็ตรัสถามต่อไปว่า ใครจะขออะไรอีก
- เหล่าเทพยดาทั้งหลาย ทั้งพระอินทร์ พระพรหม จึงทูลขอให้เหล่าทวยเทพทั้งหลาย ได้ปรนนิบัติบำรุงพระศาสนา เพียงครึ่งหนึ่งของพระอานนท์ คือ ๑,๒๕๐ ปี
พระองค์ก็ทรงอนุญาตและก็ได้ตรัสถามต่อไปอีกว่า ยังเหลืออยู่ ๑,๒๕๐ ปี นั้นเล่า ใครจะขอต่อไป
- บรรดาเหล่าครุฑาวาสุกรี คนธรรม์ นาฏกุเวร นาคราช กินนร กินรี และภูติผีปีศาจ จึงทูลขอคุ้มครองดูแล และปรนนิบัติบำรุงต่อไปอีก ๑,๒๕๐ ปี โดยร่วมแรงร่วมใจกันผนึกกำลังกันไปจนกว่าศาสนาจะค่อย ๆ เรียวลงไป มนุษย์ก็จะเล็กลง ๆ ไปตามลำดับ ถึงกับจะต้องขึ้นแป้นขึ้นบันได สอยลูกมะเขือ ปีนขึ้นต้นเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์องคเจ้าก็จะร่อยหรอเหลือไว้เพียงผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หูเพื่อได้เป็นที่สังเกตดูว่านั่นแหละพระสงฆ์ จนกระทั่งเล็กลงหรือเรียวลง เสื่อมลงจนหมดสิ้นพอดี ๕,๐๐๐ปี ตามพระพุทธฏีกากำหนดไว้
ในพุทธทำนายบอกว่า เหตุการณ์ในคำทำนายจะบังเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธศาสนาล่วงแล้ว ๒,๕๐๐ ปี หรือ กึ่งพุทธศตวรรษ (พุทธศตวรรษ คือกำหนดอายุพระพุทธศาสนา ที่ได้ทรงกำหนดไว้เพียง ๕,๐๐๐ ปี) แต่เท่าที่ปรากฎในปัจจุบัน เหตุการณ์เลวร้ายดังพุทธทำนายได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น โดยดูได้จากสงครามโลก ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาล้วนเกิดก่อนพุทธศักราช ๒๕๐๐ ทั้งสิ้น ผลของคำทำนายนั้นมีโอกาสเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ ตรงตามเวลาหรือคลาดเคลื่อนก็ได้ และต้นเหตุที่ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนคลาดเคลื่อน หรือผิดไปจากคำทำนายนั้นก็คือ "กรรมปัจจุบัน"
ขอยกตัวอย่างย้อนหลังถึงคำทำนายของพระสารีบุตร ที่มีต่อสามเณรในสำนัก ที่ทำนายว่าเณรจะต้องตายภายใน ๗ วัน แล้วเณรไม่ตายเพราะนำปลาที่ใกล้ตายไปปล่อยในแม่น้ำสายใหญ่ กรรมที่เณรปล่อยปลานั้นเป็นกรรมปัจจุบันที่ลบล้างกรรมแต่อดีตไม่ให้ส่งผล เพราะปลาฝูงนั้นบังเอิญเป็นเจ้ากรรมนายเวร เขาอโหสิกรรมให้เป็นอันว่าเลิกรากันไป อย่างชาติสุดท้ายของพระอรหันต์องคุลีมาลก็เช่นกัน กรรมที่ฆ่าคนถึง ๙๙๙ ศพ นั้น น่าจะนำให้ท่านไปลงนรกมากกว่าไปนิพพาน แต่กรรมปัจจุบันของท่านที่ได้บวชเรียนปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จนทำให้เจ้ากรรมนายเวรเขาอโหสิกรรมให้ เจ้ากรรมนายเวรของท่านองคุลีมาลก็คือ คนจำนวน ๙๙๙ คน ที่เคยฆ่าท่านเมื่อครั้งที่ท่านเกิดเป็นเต่าใหญ่ แล้วเอาเนื้อท่านมาแบ่งกันกิน ดังนั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายตัดกรรม ก็จะมีการอโหสิกรรมหรือยกเลิกกรรมทันที
"กรรมปัจจุบัน" มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อผลคำพยากรณ์ ดังนั้นการที่สงครามโลกจะเกิดก่อนกึ่งพุทธกาล จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ข้อสำคัญเกิดขึ้นใกล้กึ่งพุทธกาลนี่ซิครับ น่าทึ่ง แล้วรายละเอียดของคำพยากรณ์ในข้ออื่น ๆ ที่บ่งบอกเอาไว้อีก แทบจะถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนเลย
ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบแต่ความลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ
คนในสมัยนั้น จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎแห่งธรรมชาติไม่พ้น
สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดในโลก คือ "มนุษย์" ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุ แปลว่า "ผู้มีใจสูง" แต่อันที่จริงถ้าจะแปลคำว่า "มนุษย์" ไปอีกความหมายหนึ่งก็จะแปลได้ว่า "ผู้มีจิตใจเป็นเลิศ เป็นเอก เป็นหนึ่ง ไม่มีใครทัดเทียมได้" มนุษย์อาจทำได้ทุกอย่างทั้งสิ่งที่เลวที่สุดชนิดที่สัตว์อื่นทำไม่ได้ และมนุษย์ก็เช่นเดียวกันสามารถทำสิ่งที่ดีที่สุดชนิดที่ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน
ในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น ท่านได้สอนให้พุทธบริษัทตระหนักถึง "ไตรลักษณ์" หรือลักษณะอันเป็นจริงตามธรรมชาติ ๓ ประการ คือ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป " หรือ " อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เมื่อเกิดขึ้น ก็จะมีทุกข์ (อาจจะสุขบ้างแต่ก็น้อยกว่าทุกข์) เมื่อมีทุกข์ หรือสุข ก็จะดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ตามแต่เวรกรรมที่สร้างและกำหนดไว้ แต่พอสิ้นสุดแห่งทุกข์หรือสุข ก็จะมีการแตกตับหรือสูญสิ้นไป ไม่จีรังยั่งยืน โลกของเราก็เหมือนกัน เมื่อเกิดได้ก็ย่อมแตกดับได้ไปตามกาลเวลา และการแตกดับของโลกนั้น ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวทำให้แตกดับ แต่เป็นมนุษย์โลกในดาวดวงเดียวกันนี่แหละทำให้เป็นไป
หลังกึ่งพุทธกาล ท่านจะเห็นได้ว่าโลกเราได้รับภัยพิบัติธรรมชาติบ่อยครั้ง แต่ละครั้งรุนแรงคร่าชีวิตพลโลกไปไม่น้อย สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะธรรมชาติไม่สมดุล มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ ซึ่งบางอย่างก็ได้ทำลายสมดุลแห่งธรรมชาติ ทั้ง ๆ ที่มนุษย์รู้ก็รู้ตัวว่าทำลายแต่ก็จะทำเสียอย่างใครจะทำไม ? พระองค์ท่านตรัสว่า แผ่นดิน แผ่นน้ำ จะลุกเป็นไฟ เพราะมีการรบราฆ่าฟันกันเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ
ท่านก็คงจะเห็นจริงแล้ว ถึงสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร แม้กระทั่งยิวกับอาหรับก็ยังเป็นศัตรูคู่แค้นทำสงครามกันมานานนับศตวรรษ เมื่อมนุษย์ฆ่าสัตว์จนหมดป่า ป่าถูกทำลาย พวกสัตว์ป่ามันคงจะเกิดเป็นสัตว์ไม่ได้อีกต่อไป วิญญาณสัตว์ป่าของมันจึงมาเกิดในร่างมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีจิตใจโหดร้ายเยี่ยงสัตว์ป่าหรือยิ่งกว่า เพราะมีสติปัญญาดีกว่า ดังนั้นอันตรายย่อมมากกว่าเมื่อมีการประหัตประหารกัน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ไฟที่ลุกลามมาทางทิศตะวันออก หมายถึงพวกญี่ปุ่น ที่หวังจะยึดครองเอเซียอาคเนย์ (ประเทศญี่ปุ่นอยู่ทางทิศตะวันออกของไทย-อินเดีย) มีการทิ้งระเบิดของพวกสัมพันธมิตร ไม่ต้องห่วงเลยครับว่ากรุงเทพ ฯ จะเป็นอย่างไร วัดราษฏร์บูรณะ ที่อยู่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ถูกระเบิดเสียราบเรียบ เพราะอยู่ใกล้โรงไฟฟ้าซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ เป็นยุคข้าวยากหมากแพง พระเณรแทบอดตายสึกหนีหาย หนีภัยสงครามไปก็เยอะ คำว่า แมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัวมาปล่อยไข่เป็นไฟเผาผลาญ ก็หมายถึงเครื่องบิน บี 52 มาทิ้งระเบิด ไฟลุกทั่วเมืองนั่นเอง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ตรัสเตือนพุทธบริษัทให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น แม้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็ผ่อนปรนกรรมให้บรรเทาเบาบางได้ อย่างเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประเทศไทยเกือบจะสูญสิ้นเอกราชและถูกแบ่งแยกประเทศ เพราะรัฐบาลไทยประกาศร่วมสงครามกับญี่ปุ่น ทำให้ประเทศต้องย่อยยับ แม้จะอ้างว่าทานกำลังอำนาจญี่ปุ่นไม่ได้ก็ตาม ยังดีที่มีกลุ่มคนไทยรักชาติทั้งในและต่างประเทศ ร่วมกันก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นมา เมื่อสิ้นสงคราม ไทยจึงหลุดพ้นจากการถูกยึดครองและจ่ายค่าปฎิมากรรมสงคราม ถ้าจะมองอีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะเมืองไทยเราเป็นเมืองพระพุทธศาสนา ชาวไทยในสมัยนั้นยึดมั่นในขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม เคร่งครัดในคำสอนของพระพุทธองค์ ทำให้รอดพ้นมาได้ ดังพุทธทำนายที่ว่า "เวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติ จักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น"
คำว่า "เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ" อันนี้คงหมายถึง เครื่องบินที่ทะยานขึ้นมาจากเรือบรรทุกเครื่องบิน นั่นเอง ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า คำพยากรณ์ของพระพุทธองค์นั้น ถ้าเข้าใจความหมายแล้ว ตีความออกมาไม่ยาก ไม่ต้องถอดรหัส ผสมอักษรให้วุ่นวาย เหมือนคำพยากรณ์ ของท่าน"นอสตราดามุส"
"ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก" ยักษ์หินก็คือ "ภูเขาไฟ" ที่ดับสนิทมาเป็นเวลานาน ตื่นขึ้นมาก็คือ ประทุขึ้นมาอีกที่เรียกว่า "ภูเขาไฟระเบิด" และเชื่อว่าถ้าจะถึงขั้นอาละวาดทำลายโลกแล้วล่ะก็คงไม่ใช่ลูกเดียวเป็นแน่ และเมื่อภูเขาไฟระเบิด(อาจเป็นภูเขาไฟใต้น้ำก็ได้) ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง ก็คือพื้นดินจะทรุดนั่นเอง แผ่นดินจะล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ (ตอนนี้เหมือนกับคำทำนายสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่ได้นำเสนอไปแล้ว)
เมื่อโลกผ่านกลียุคมาได้ ไม่ถึงกับแตกทำลาย พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ในระยะนั้น ศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม เชื่อคำของคนโกงกล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมเนียม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติดีประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของ พระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์อยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวรรษา
ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน
ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีล ๕ ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตามคำสอนของตาคตให้มั่นคง จึงพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล
จากพุทธทำนายช่วงท้าย จะเห็นว่าพุทธศาสนาเสื่อมลงมาก จนกระทั่งมีผู้เป็นใหญ่ที่นับถือพุทธศาสนาบังเกิดขึ้น เป็นฆราวาส ๑ และ บรรพชิต ๑ ได้สร้างเสริมบำรุง พุทธอาณาจักร ดำรงพระศาสนาให้คงอยู่ต่อไป จนถึง ๕,๐๐๐ ปี คำว่า อยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ความหมายอันนี้ขอตีความว่า หมายถึง "ประเทศไทย" เพราะมัชฌิมประเทศ น่าจะหมายถึงอินเดีย ทิศตะวันออกของอินเดียก็คือ ไทย ไม่น่าจะเป็นประเทศอื่น เพราะประเทศไทยมีรากฐานทางพระพุทธศาสนาที่มั่นคง ไม่ถูกทำลายสูญหายไปง่าย ๆ
หากผู้ใดตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ประพฤติตนอยู่ในหลักคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว โอกาสที่จะรอดพ้นอันตรายจากภัยพิบัติในกึ่งพุทธกาลย่อมมีมาก
กลับ