1.11.54

ดูแลสุขภาพตามศาสตร์จีน




          คน เรามักจะคิดว่าสาเหตุของการเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดมาจากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อโรคต่างๆ ความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของสาเหตุแห่งโรคเท่านั้น เพราะในสิ่งแวดล้อมเดียวกันทำไมบางคนป่วย บางคนไม่ป่วย ทั้งนี้เพราะมูลเหตุแห่งโรคนั้นประกอบไปด้วยสาเหตุจากภายนอกกับสาเหตุจากภายใน แต่สาเหตุจากภายในนั้นสำคัญกว่าอันเป็นที่มาของความเจ็บไข้ได้ป่วยซึ่งเกี่ยวข้องกับภูมิต้านทานโรคและธาตุประจำตัวของแต่ละคน ที่สืบเนื่องมาจากอุปนิสัย ความเคยชิน ความชอบ พื้นฐานของการกินอยู่ กิจกรรมในชีวิตประจำวันต่าง ๆ เช่น การกินอาหาร การหลับนอน การทำงาน สภาวะจิตใจของแต่ละคน อุปนิสัยใจคอ อารมณ์ รวมทั้งพฤติกรรมของครอบครัว


          ร่างกายของมนุษย์แท้จริงก็คือส่วนหนึ่งของธรรมชาติ พลังงานต่าง ๆ บนโลกมีความสัมพันธ์กับโลกของเราโดยเฉพาะกับมนุษย์ ในเรื่องความสัมพันธ์กับการก่อเกิดและการทำลายของธาตุทั้ง 5 ซึ่งจะมีผลต่อมนุษย์ทั้งในด้านต่าง ๆ กล่าวคือ ในคนเราจะประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 5 ซึ่งจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ฤดูกาล วันเดือนปีและเวลาเกิด ว่าคน ๆ นั้นได้รับพลังจากฟ้าแล้วได้ธาตุตัวไหนมากน้อยเท่าใด ก็จะมีการแสดงออกมาตามลักษณะของธาตุนั้น ๆ 


          ปราชญ์จีนได้คิดค้นวิธีที่จะเข้าใจธรรมชาติโดยใช้หลักการ 5 ธาตุ มาวิเคราะห์โรคต่าง ๆ เพื่อวิเคราะห์ดูว่าบุคคลคนนั้น มีปัญหาอะไร ต้องทำการรักษาอย่างไร ซึ่งแต่เดิมดวงจีนก็จะนำมาใช้ในเรื่องของการวิเคระห์และรักษาโรคเป็นส่วนใหญ่ แม้แต่ระบบนักษัตรก็ยังถูกจัดหมวดหมู่ออกเป็นธาตุต่าง ๆ เช่นกัน โดยแบ่งเวลาใน 1 วัน ออกเป็น 12 ยาม (1 ยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง) โดยแต่ละยามมีการกำหนดนักษัตรประจำอยู่ แต่ละนักษัตรก็จะถูกปรับเปลี่ยนเป็นอวัยวะต่าง ๆ  ตามการสังเกตและวิเคราะห์ของปราชญ์จีนสมัยก่อนแล้วบันทึกไว้ ในช่วงเวลา 24  ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้น ภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกายซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง
อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต
อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ําดีลําไส้ใหญ่ ลําไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ชานเจียว)
การไหลเวียนของพลังชีวิต(ลมปราณ)  ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ท้ังหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า “นาฬิกาชีวิต” ที่หมุนเวียนเป็นวัฏจักร


23.00-01.00  น.  เป็นช่วงเวลาของนักษัตรชวด เกี่ยวข้องกับถุงน้ําดี  (ถุงน้ําดีเป็นถุงสํารองเก็บน้ําย่อยที่ออกมาจากตับ)อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ํา จะมาดึงน้ําจากถุงน้ําดี ทําให้ถุงน้ําดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียวสายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ําดีจะโยงไปปอด)  จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ  (ผู้ที่ตัดถุงน้ําดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่งจะพบว่าถุงน้ําดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)ทางแก้คือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอนที่ทําจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ําในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายที่ดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง ๆ เพราะจะทําให้เสียน้ํำในร่างกาย ดังนั้นควรดื่มน้ําก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.
ข้อควรปฏิบัติ : ดื่มน้ำก่อนเข้านอน
อาหารบำรุง : อาหารที่มีไขมันต่ำ และไม่ทานอาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ


01.00-03.00 น.  เป็นช่วงเวลาของนักษัตรฉลู เกี่ยวข้องกับตับ ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจําในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine)  เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทําให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอนจากร่างกายจะหลั่งมีราทินประจําแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟีน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหารเพราะจะทําให้ตับทํางานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับ คือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทําให้ตับทํางานหนักตับจะหลั่งน้ําย่อยออกมามากจึงไม่ได้ทําหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
ข้อควรปฏิบัติ : นอนหลับพักผ่อนให้สนิท
อาหารบำรุง : อาหารที่ช่วยล้างพิษ เช่น งา น้ำผลไม้และน้ำสะอาด


03.00-05.00  น. เป็นช่วงเวลาของนักษัตรขาล เกี่ยวข้องกับปอด จึงควรตื่นนอนลุกขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจําปอดจะดีผิวดีขึ้น และจะเป็นคนที่มีอํานาจในตัว
ข้อควรปฏิบัติ : ตื่นนอน สูดอากาศสดชื่น
อาหารบำรุง : อาหารจำพวกเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอสูง เช่น ส้ม ผักใบเขียว น้ำผึ้ง หอมใหญ่


05.00-07.00  น.  เป็นช่วงเวลาของนักษัตรเถาะ เกี่ยวข้องกับลําไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระทําให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตําแหน่งสองข้างของจมูก ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ําอุ่น 2  แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ําผึ้งผสมมะนาวโดยใช้น้ํา 1 แก้ว + น้ําผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + น้ํามะนาว 4-5 ลูก ทําดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง
ข้อควรปฏิบัติ : ขับถ่ายอุจจาระ
อาหารบำรุง : อาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช


07.00-09.00 น.  เป็นช่วงเวลาของนักษัตรมะโรง เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทํางานถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวันกระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอจะส่งผลให้เป็นคนตัดสินใจช้า ชี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
ข้อควรปฏิบัติ : กินอาหารเช้า
อาหารบำรุง : ควรมีพลังงานและสารอาหารอย่างน้อย 1 ใน 4 หรือร้อยละ 25 ของปริมาณที่ควรได้รับตลอดวัน


09.00-11.00 น.  เป็นช่วงเวลานักษัตรมะเส็ง เกี่ยวข้องกับของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือดสร้างน้ําเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ
  - ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทําให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
  - ม้ามชื้น อาหารและน้ําที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทําให้อ้วนง่าย
ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อย ๆ หรือพูดเก่ง ๆ ม้ามจะชื้น จึงควรพูดน้อยกินน้อย ม้ามจึงแข็งแรง
ข้อควรปฏิบัติ : พูดน้อย กินน้อย ไม่นอนหลับ
อาหารบำรุง : มันเทศสีแดง หรือเหลือง อาหารที่ทำจากบุก


11.00-13.00  น.  เป็นช่วงเวลาของนักษัตรมะเมีย เกี่ยวข้องกับหัวใจ หัวใจทํางานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทําให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
ข้อควรปฏิบัติ : หลีกเลี่ยงความเครียดทั้งปวง
อาหารบำรุง : อาหารที่มีสีแดงตามธรรมชาติ เช่น ถั่วแดงและผลไม้สีแดง น้ำมันปลา วิตามินบีต่างๆ


13.00-15.00  น.  เป็นช่วงเวลาของนักษัตรมะแม เกี่ยวข้องกับลําไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภทเพื่อเปิดโอกาสให้ลําไส้ทํางาน ลําไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ําทุกชนิด เช่น วิตามินซี บี โปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สําหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลําไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11  ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลําไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่
ข้อควรปฏิบัติ : งดกินอาหารทุกประเภท
อาหารบำรุง : อาหารไขมันต่ำ น้ำสะอาด


15.00-17.00  น.  เป็นช่วงเวลาของนักษัตรวอก เกี่ยวข้องกับกระเพาะปัสสาวะ แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจากหัวตา ผ่านหน้าผาก ศีรษะ ท้ายทอย แผ่นหลังทั้งแผ่น สะโพก ด้านหลังขา หัวเข่า น่อง ส้นเท้า นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจําไทรอยด์และระบบเพศทั้งหมด ช่วงเวลานี้ควรทําให้เหงื่อออก อาจจะออกกําลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง
ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามากหัวใจจะวาย แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ําส้มหรือน้ํามะนาวเพื่อเติมโปตัสเซียม  (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชาจะทําให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายได้ง่าย) การอั้นปัสสาวะบ่อย  ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดทําให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
ข้อควรปฏิบัติ : ทำให้เหงื่อออก (ออกกำลังกาย หรือ อบตัว)
อาหารบำรุง : ผลไม้เช่น บิลเบอร์รี่ และทานน้ำสะอาดมากๆ


17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาของนักษัตรระกา เกี่ยวข้องกับไต จึงควรทําใจให้ลดชื่นไม่ง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อแสดงว่าอาการหนักมาก
  - ไตซ้าย จะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงามชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัวและเป็นคนขี้ร้อน
  - ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจํา ถ้าไตขวามีปัญหาความจําจะเลื่อมและเป็นคนขี้หนาว (ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)
ถ้าลําไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลําไส้เล็กไม่ได้จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทํางานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไตสมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ การดูแลคือ ตอนเช้าอาบน้ําเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ําอุ่น กรณีที่อาบน้ําไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้าแต่น้ําควรใส่สมุนไพรที่ถูกกับโฉลกของผู้ป่วยเช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
ข้อควรปฏิบัติ : ทำตัวให้สดชื่น ไม่ง่วงหงาวหาวนอน
อาหารบำรุง : อาหารที่มีเกลือต่ำ รวมถึงสมุนไพรจีน เช่น ถั่งเฉ้า


19.00-21.00  น.  เป็นช่วงเวลาของนักษัตรจอ เกี่ยวข้องกับเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทําสมาธิ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอดต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้าชุดสีดํา เทา แช่เท้าในน้ําอุ่น
ข้อควรปฏิบัติ : ทำสมาธิ หรือสวดมนต์
อาหารบำรุง : อาหารจำพวกโปรตีนที่มีไขมันต่ำ รวมถึงวิตามินบีต่างๆ


21.00-23.00  น.  เป็นช่วงเวลาของนักษัตรกุน เกี่ยวข้องกับระบบความร้อนของร่างกาย ต้องทําให้ร่างกายอบอุ่นจึงห้ามอาบน้ําเย็นในช่วงเวลานี้เพราะจะทําให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลมเพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
ข้อควรปฏิบัติ : ห้ามอาบน้ำเย็น ห้ามตากลม ทำร่างกายให้อบอุ่น
อาหารบำรุง : อาหารที่มีรสเผ็ดร้อน เช่น ขิง โสม





                                                                    กลับ




                        

1.7.54

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบกับชีวิต

          ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัวเราล้วนมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตทั้งสิ้น ถ้าเราเฝ้ามองดูชีวิตของเด็กสองคนที่เกิดวันเดือนปีและเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่กัน สภาพแวดล้อมต่างกัน พ่อแม่ก็คนละคน การเลี้ยงดูก็คนละแบบ เหล่านี้ล้วนมีผลต่อการดำเนินชีวิตทั้งสิ้น ฉะนั้นไม่มีใครในโลกนี้เลยแม้แต่คนเดียวที่จะมีชีวิตที่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แม้แต่ฝาแฝดที่พ่อแม่คนเดียวกัน การเลี้ยงดูก็เหมือน ๆ กัน สภาพแวดล้อมก็ที่เดียวกัน การศึกษาก็เหมือนกัน ยังมีวิถีชีวิตที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แล้วปัจจัยอะไรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น

          ถ้าอยู่ในวัยเรียน เพื่อนก็จะเป็นอิทธิพลหลัก การคบเพื่อนต่างกันย่อมส่งผลกับชีวิตต่างกัน การคบเพื่อนกลุ่มที่ขยันหมั่นศึกษาหาความรู้อ่านหนังสือเข้าห้องสมุด กับการคบเพื่อนกลุ่มที่เน้นกิจกรรมบันเทิง วิถีชีวิตก็จะดำเนินไปกันคนละแบบ ถึงแม้จะจับทั้งเด็กสองคนมาสลับกันก็ยังคงรับผลอิทธิของสังคมกลุ่มที่เข้าไปอยู่

          การที่คนเราเลือกเดินเส้นทางหนึ่งก็ไม่มีวันรู้เลยว่าอีกเส้นทางเป็นอย่างไร จากการวิเคราะห์ชีวิตผู้คนมามากมายก็พอที่จะสรุปปัจจัยใหญ่ ๆ ที่มีผลกระทบกับวิถีชีวิต ดังนี้
1. ชัยภูมิที่อยู่อาศัย (ฮวงจุ้ย)
2. อาชีพการงาน
3. คู่ครองคนรัก
4. ลูก หลาน
5. เพื่อนฝูงญาติพี่น้อง บุคคลที่เข้ามาสัมพันธ์กับชีวิต

ทีนี้เรามาดูเหตุผลของแต่ละข้อกันว่าส่งผลกระทบกับวิถีการดำเนินชีวิตอย่างไร

ชัยภูมิที่อยู่อาศัย (ฮวงจุ้ย)

          จะเห็นว่าเราให้ความสำคัญเรื่องสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยเป็นอันดับแรกเลย โดยเฉพาะสังคมจีนฮวงจุ้ยถือว่ามีบทบาทสำคัญกับชีวิตมาก ฮวงจุ้ยเป็นวิชาที่ศึกษาในเรื่องของธรรมชาติที่แท้จริงของลมกับน้ำ แล้วปรับวิถีชีวิตให้คล้อยไปตามธรรมชาติ โดยการเลือกชัยภูมิที่อยู่อาศัยให้เหมาะสม การอยู่ในชัยภูมิที่ดีย่อมส่งผลดีกับชีวิต วิชาหมากรุกจีนเป็นวิชาที่ว่าด้วยฮวงจุ้ยในร่างกายมนุษย์ เป็นฮวงจุ้ยแห่งชีวิตที่ถอดรหัสจากวันเดือนปีและเวลาเกิดออกมาก็ได้หมากรุกธาตุต่าง ๆ ว่ามีธาตุอะไรประจำอยู่ร่างกายส่วนใดบ้าง เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินชีวิตให้ถูกต้อง แล้วจึงเอาฮวงจุ้ยในร่างกายของเราไปตรวจสอบทำเลที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมต่อไป
       
          ยกตัวอย่างเช่นฮวงจุ้ยในร่างกายของชาวเหนือคนหนึ่งซึ่งเป็นธาตุทอง ต้องการเข้ามาทำงานในกรุงเทพมหานคร เพราะเชื่อว่าเข้ามาแล้วจะมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าอยู่บ้านเดิมของตน แต่ถ้าฮวงจุ้ยของกรุงเทพมหานครเป็นธาตุไฟที่แข็งแกร่ง ฮวงจุ้ยในร่างกายของชาวเหนือผู้นั้นซึ่งเป็นธาตุทองก็จะถูกเผาไหม้ตลอดเวลา ต่อให้พยายามเท่าใดก็ไม่มีทางที่จะเจริญรุ่งเรืองหรือมีวาสนาบารมีขึ้นในกรุงเทพมหานครได้ ซึ่งความเป็นจริงการอาศัยอยู่แผ่นดินเกิดของตัวเองอย่างถูกโฉลกกับดวงชะตาก็สามารถรวยได้ และอาจจะร่ำรวยกว่าคนเมืองหลวงโดยกำเนิดหลาย ๆ คนอีกด้วย เพียงแต่ต้องจัดสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้สอดคล้องกับฮวงจุ้ยในร่างกายของเรา

อาชีพการงาน

          การเลือกอาชีพผิดก็ส่งผลกับชีวิตมากมาย บางคนทำงานแบบเดียวมาเกือบทั้งชีวิตก็พึ่งจะรู้ว่าตัวเองไม่เหมาะ บางคนก็ลองผิดลองถูกมาหลายอาชีพ ในอาชีพเดียวกันบางคนทำแล้วรวยบางคนทำแล้วเจ๊ง เก่งไม่เก่งนี่ก็มีส่วน แต่เก่งอย่างเดียวแต่ไม่เฮงก็ไปไม่รอด มีตัวอย่างลูกค้ารายหนึ่งที่รับกิจการโรงงานน้ำดื่มมาบริหารต่อจากพ่อแม่ เข้ามาดูแลได้ระยะนึงกิจการก็เริ่มแย่ลง(ทั้งที่พ่อแม่ก็วางฐานไว้ให้อย่างมั่นคง) ลูกค้าเริ่มหดหาย มีอุปสรรคเข้ามามากมาย ลูกน้องบริวารก็ทยอยกันออก คิดไปก็เครียดไปเลยพาลทำให้สุขภาพย่ำแย่ตามไปด้วย เมื่อตรวจชะตาดูฮวงจุ้ยในร่างกายก็พบว่าเขาเป็นคนธาตุไฟอ่อน ซึ่งอาชีพที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคืออาชีพเกี่ยวกับน้ำทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม น้ำปั่น น้ำผลไม้ ไอศรีม ประมง คาแคร์ ฯลฯ คือเจ๊งตั้งแต่ยังไม่ต้องลงมือทำแล้ว การเลือกอาชีพที่เหมาะสมคือชัยชนะตั้งแต่ยังไม่ออกรบ ถ้าลงมือทำเมื่อไหร่ก็ย่อมจะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง

คู่ครองคนรัก

          เป็นตัวแปรที่สำคัญที่สุดถ้าพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "คน" แสดงผลการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงที่สุดและเห็นภาพชัดที่สุด ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ คำโราณเคยพูดเปรียบเปรยเอาไว้ว่า "การเลือกคู่ครองเหมือนการเสี่ยงโชค" ได้คู่ที่ดีก็ยิ่งกว่าถูกรางวัลที่ 1 ถ้าได้คู่ที่แย่ชีวิตก็มีแต่จน เครียด ......... บางคนยังไม่ทันจะได้แต่งงานกัน แค่เป็นแฟนกันเฉย ๆ ก็ส่งผลกับชีวิตมากมาย ข้อนี้ไม่ขออธิบายมากขอสรุปสั้น ๆ ว่าการเลือกคู่ที่สอดคล้องกับดวงชะตาย่อมส่งผลดีกับชีวิตแน่นอน

ลูก หลาน

          ว่ากันว่ากรรมที่แท้จริงของมนุษย์ก็คือ "ลูก" ไม่ว่ากรรมนั้นจะเป็นกรรมดีหรือไม่ก็ตาม สิ่งใดที่เราเคยทำไว้ในอดีตก็มักจะมาแสดงผลที่ลูกของเรา บางคนไม่มีลูกก็กรรมอย่างหนึ่ง บ้างเป็นถึงเศรษฐีมีเงินมากมายแต่ก็มีลูกที่คอยมาล้างผลาญ คอยทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง บ้างก็ลูกป่วยลูกพิการก็ต้องคอยดูแลกันไป ถ้าเห็นลูกได้ดิบได้ดีมีชื่อเสียงพ่อแม่ก็ชื่นใจคุยได้สามบ้านเจ็ดบ้าน

          มีคำกล่าวว่า "คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" ความจริงแล้วการเลือกเกิดให้ตัวเองไม่ได้ก็จริง แต่เราสามารถเลือกให้ลูกเราเกิดได้(ไม่แน่ใจว่ายุคนี้สามารถเลือกเพศเด็กได้รึยัง) ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยนี้สามารถล่วงรู้ช่วงเวลาเกิดได้ จึงเป็นประโยชน์ที่เราจะเลือกวันเวลาที่ดีทำการผ่าคลอด ดังนั้นเราจึงสามารถกำหนดวันเวลาที่ดีที่สุดให้ลูกเราเกิดได้ ซึ่งก็ย่อมส่งผลดีถึงชีวิตของเราและลูก

เพื่อนฝูงญาติพี่น้อง บุคคลที่เข้ามาสัมพันธ์กับชีวิต

          จะเห็นว่าข้อหลัง ๆ นี้ จะเกี่ยวข้องกับ "คน" ทั้งสิ้น ก็เป็นที่รู้กันว่า "คน" แปลว่า ทำให้ยุ่งเหยิง ในการทำธุรกิจถึงแม้จะเป็นอาชีพที่ถูกโฉลก แต่พอหุ้นกับเพื่อนกับญาติทีไรก็เจ๊งไม่เป็นท่าทุกที อย่างนี้เรียกว่า "ญาติเป็นพิษ" ดวงแบบนี้ถ้าทำงานในกงสีต้องเรียกว่าเหนื่อยทั้งกายและใจ ทำงานหนักแต่ได้เงินน้อย ตราบใดที่ไม่ผลักดันตัวเองออกมาก็คงจะมองไม่เห็นอนาคต ก็ต้องอยู่กันแบบสภาวะจำทน

          ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากที่ส่งผลกับวิถีการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการอบรมเลี้ยงดู แนวความคิดที่ถูกปลูกฝังในวัยเด็ก สุขภาพร่างกาย ความเจ็บป่วย ศาสนา การศึกษา ทรัพย์สินเงินทอง เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง Hi5 Facebook ฯลฯ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราล้วนส่งผลกระทบทั้งสิ้น ถ้าต้องการมีชีวิตที่มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะดำเนินชีวิตอย่างไรให้สอดคล้องกับฮวงจุ้ยในดวงชะตาของเราต่างหาก



                                                          กลับ


                     
   

29.6.54

การทำลายดวงชะตาผ่านทางเพศสัมพันธ์

          ปัจจุบันนี้คนไทยเรารับเอาวัฒนธรรมผิด ๆ อย่างฟรีเซ็กส์มาจากฝั่งตะวันตก ซึ่งมองเห็นกันทั่วไปจนกลายเป็นเรื่องปกติของสังคมนี้ไปแล้ว มีผู้คนจำนวนมากที่ไม่สนใจวัฒนธรรมอันดีที่คนโบราณได้สั่งสมไว้ การอยู่ก่อนแต่งจึงเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมยุคนี้ โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษาที่จับคู่อยู่กินกันฉันสามี-ภรรยา โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง เพราะคิดว่าใคร ๆ เขาก็ทำกัน ไม่เห็นแปลกตรงไหน

          ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบมากมายต่อสังคม การมีรักก่อนวัยอันควรส่งผลกระทบต่อการศึกษาเล่าเรียน ทั้งเรื่องการหึงหวงจากการมีกิ๊กมีคู่หลายคนจนส่อเค้ารุนแรง จนบางกรณีถึงขั้นก่ออาชญากรรมขึ้น บางคนก็อกหักรักคุดจนถึงขั้นคิดสั้นฆ่าตัวตายดังที่เราเห็นกันตามข่าวหน้าหนังสือพิมพ์รายวัน รวมไปถึงปัญหาการทำแท้งที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ

          แต่ถ้าเรามาวิเคราะห์ลงลึกในด้านดวงชะตา การมีเพศสัมพันธ์(กับคนอื่นที่ไม่ใช่สามี-ภรรยาของเรา) คือการเอาดวงของเราไปผูกไว้กับคนอื่น ซึ่งเราจะไม่มีทางรู้เลยว่าดวงของกิ๊กที่เราไปมีอะไรด้วยจะฉุดกระชากลากถูให้ชีวิตย่ำแย่ลงขนาดไหน ความน่ากลัวของการทำลายกันผ่านทางเพศสัมพันธ์มันน่ากลัวยิ่งกว่าโรคร้ายแรงทางเพศสัมพันธ์ที่เรียกว่า "โรคเอดส์" มากมายนัก ชนิดที่ว่าถุงยางอนามัยก็ไม่อาจช่วยอะไรได้

          ขอยกตัวอย่างเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ เช่น คนที่มีดวงทำลายกันหรือเป็นอริต่อกันอย่างคนธาตุน้ำกับคนธาตุไฟ หรือ นักษัตรชวดกับมะเมีย หรือคนธาตุทองกับธาตุไม้ หรือนักษัตรระกากับเถาะ เป็นต้น เมื่อมีเพศสัมพันธ์กัน หมากรุกประจำธาตุในดวงคนที่อ่อนแอกว่าก็จะถูกทำลายไปทีละนิด หรืออาจจะถูกทำลายพินาศย่อยยับอย่างสิ้นเชิงในคราวเดียวเลยก็ได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของธาตุในตัวเจ้าชะตาเองและพลังการทำลายของธาตุในตัวของคู่นอน คนธาตุไม้ที่อ่อนแอไปมีเพศสัมพันธ์กับคนทีมีธาตุทองที่แข็งแกร่ง(โดยที่เราไม่รู้) ผลก็คือคนธาตุไม้ที่อ่อนแอจะถูกทำลายทันที ถ้าตำแหน่งธาตุไม้ที่ถูกทำลายนั้นเป็นตำแหน่งของการงาน ก็จะมีปัญหาหน้าที่การงานตามมามากมาย เช่นการงานที่กำลังไปได้ดี อยู่ ๆ ก็มีอุปสรรคติดขัดขึ้นมา เช่น โดนเปลี่ยนงาน ย้ายงาน ความรับผิดชอบมากขึ้นเหนื่อยมากขึ้นแต่เงินเท่าเดิมหรืออาจจะน้อยลง งานโดนโกงบ้าง ไม่เสร็จตามกำหนดบ้าง ฯลฯ หากตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งชื่ีอเสียง ก็มีเหตุให้โดนใส่ร้ายป้ายสีทำให้เสียชื่อเสียง ไม่สามารถสร้างชื่อให้กับตัวเองได้อีก และอีกมากมาย บางคนเป็นหนี้ท่วมหัว บางคนล้มละลาย บ้างก็ติดคุก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เราโดนทำลายนั้นเป็นตำแหน่งอะไร

          มีตัวอย่างลูกค้าของผมรายหนึ่ง ทุกครั้งที่เขากำลังมีโปรเจคงานใหม่ ๆ พอใกล้จะสำเร็จก็มีอันต้องล้มก่อนทุกที และก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง โดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ทราบสาเหตุ เมื่อตรวจดวงชะตาของเขาดูก็พบว่าเจ้าตัวเป็นคนที่วาสนาดี หน้าที่การงานก็ดี แต่มีปัญหาตรงที่ตำแหน่งเพศสัมพันธ์หรือก็คือตำแหน่งเซ็กส์ซึ่งเป็นธาตุน้ำ มันพร้อมที่จะดับธาตุไฟที่อ่อนแอซึ่งเป็นตำแหน่งอาชีพและทรัพย์สินของเจ้าชะตา จึงไม่แปลกใจที่ทุกคร้ังที่มีงานดี ๆ เข้ามา ถ้าเจ้าชะตาไปมีเซ็กส์กับใครงานเขาก็จะถูกดับแถมยังต้องมีเหตุให้สูญเสียทรัพย์และมีเรื่องวุ่ีนวายตามมาอีกมากมาย เมื่อเจ้าชะตานึกย้อนกลับไปคิดดูถึงกลับขนลุกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะทุกครั้งที่กำลังทำงานใหญ่ก็มักจะมีผู้หญิงมาติดพันมากหน้าหลายตาหรือไม่งั้นก็เราเองนี่แหละที่ไปซุกซนกับหญิงอื่น แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าที่การงานเสื่อม เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดถึง (เห็นมั๊ยว่าเจ้ากรรมนายเวรก็ทำหน้าของเขาทุกครั้ง) สรุปแล้วสาเหตุของความซวยและความจนก็มาจากความเจ้าชู้นี่เอง

          ในสมัยโบราณ การจับคู่แต่งงานจะอาศัยหลักการของความสมพงษ์กันทางดวงชะตา เป็นแบบแผนปฏิบัติที่ถือกันเป็นสามัญในสังคมจีนจนกลายเป็นประเพณีคลุมถุงชน เนื่องเพราะต้องการค้นหาคนที่มีชะตาสมพงษ์กันมาเป็นคู่ครองให้บุตรหลานของตน ทั้งนี้เพื่ออนาคตที่ดีและมั่นคงของบุตรหลานของตนและวงศ์ตระกูล แต่ทว่าปัจจุบันกลับมองภูมิปัญญาของคนโบราณเป็นเรื่องล้าสมัยและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนไป



                                                            กลับ


             

21.2.54

ปีนักษัตรตามศาสตร์หมากรุกจีน

          หลายคนมีความสับสนว่าเราเกิดปีนักษัตรไหนกันแน่ เพราะหลายตำราการเปลี่ยนปีนักษัตรจะไม่เหมือนกัน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าเราจะใช้ศาสตร์ไหนในการทำนาย เราก็อ้างอิงนักษัตรของศาสตร์นั้น

          การเปลี่ยนปีนักษัตรใหม่มีใช้หลายแบบ เช่น ตามสูติบัตรปัจจุบัน การบันทึกสูติบัตรกำหนดนับปีนักษัตรใหม่ตามปฏิทินหลวง (แนวทางปฏิบัติตาม หนังสือเวียนกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0310.1/ว4 ออกเมื่อ 5 กุมภาพันธ์ 2539) ซึ่งปฏิทินหลวงให้วันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 (อ้าย) เป็นวันที่เปลี่ยนปีนักษัตรใหม่โดยจะอยู่ช่วงเดือนพฤศจิกายน , ธันวาคม หรือเปลี่ยนปีนักษัตรตามคติพราหมณ์ เปลี่ยนปีในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนห้า(5) โดยจะอยู่ช่วงประมาณเดือนมีนาคม

          นอกจากนั้นก็มีการเปลี่ยนปีนักษัตรในวันอื่น ๆ เช่น เปลี่ยนปีนักษัตรใหม่ในวันที่ 1 มกราคม (ตามปฎิทินของ อ.ทองเจือ อ่างแก้ว) , เปลี่ยนปีนักษัตรใหม่ในวันที่ 1 เมษายน (ตามปฎิทินของ อ.เทพย์ สาริกบุตร) , เปลี่ยนปีนักษัตรใหม่ในวันเถลิงศก (ช่วงวันที่ 15-17 เมษายน ตามประกาศสงกรานต์) , เปลี่ยนปีนักษัตรใหม่ในวันสังขารล่องหรือวันสงกรานต์ตามแบบทางภาคเหนือ , เปลี่ยนปีนักษัตรแบบจีน ในวันสารทลิบชุน (立春) ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ก่อนวันตรุษจีน

          ทั้งนี้จะใช้เปลี่ยนปีนักษัตรแบบใด ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้ทำการใด หรือครูอาจารย์ท่านใช้ปฏิทินแบบใดเป็นหลัก เช่น จะพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ก็ใช้ปีนักษัตรตามคติพราหมณ์ ซึ่งเปลี่ยนปีนักษัตรในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือนห้า(5) เป็นต้น

          สำหรับการเปลี่ยนปีนักษัตรตามศาสตร์หมากรุกจีน จะเปลี่ยนปีใหม่ช่วงปลายเดือนธันวาคมของทุกปี ตามปฎิทินชาวนาซึ่งเป็นปฎิทินโบราณของจีนที่ใช้กันมานานหลายพันปีแล้ว ซึ่งจะไม่ตรงกับการเปลี่ยนปีนักษัตรแบบจีนยุคใหม่ที่เปลี่ยนในวันสารทลิบชุน (立春) ประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ก่อนวันตรุษจีน


ปีนักษัตรตามศาสตร์หมากรุกจีน

21.40 น. จันทร์ 22 ธันวาคม 2473(1930) - 03.29 น. พุธ 23 ธันวาคม 2474(1931) มะแม

03.30 น. พุธ 23 ธันวาคม 2474(1931) - 09.13 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2475(1932) วอก

09.14 น.พฤหัส 22 ธันวาคม 2475(1932) - 14.57 น.ศุกร์ 22 ธันวาคม 2476(1933) ระกา

14.58 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2476(1933) - 20.49 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2477(1934) จอ

20.50 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2477(1934) - 02.36 น. จันทร์ 23 ธันวาคม 2478(1935) กุน

02.37 น.จันทร์ 23 ธันวาคม 2478(1935) - 08.26 น.อังคาร 22 ธันวาคม 2479(1936) ชวด

08.27 น. อังคาร 22 ธันวาคม 2479(1936) - 14.21 น. พุธ 22 ธันวาคม 2480(1937) ฉลู

14.22 น. พุธ 22 ธันวาคม 2480(1937) - 20.13 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2481(1938) ขาล

20.14 น.พฤหัส 22 ธันวาคม 2481(1938) - 02.05 น.เสาร์ 23 ธันวาคม 2482(1939) เถาะ

02.06 น.เสาร์23 ธันวาคม 2482(1939) - 07.54 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2483(1940) มะโรง

07.55 น.อาทิตย์22 ธันวาคม2483(1940) - 13.43 น.จันทร์22 ธันวาคม2484(1941) มะเส็ง

13.44 น.จันทร์22 ธันวาคม2484(1941) - 19.39 น.อังคาร22 ธันวาคม2485(1942) มะเมีย

19.40 น.อังคาร22 ธันวาคม2485(1942) - 01.28 น.พฤหัส23 ธันวาคม2486(1943) มะแม

01.29 น. พฤหัส 23 ธันวาคม 2486(1943) - 07.14 น. ศุกร์ 23 ธันวาคม 2487(1944) วอก

07.15 น. ศุกร์ 23 ธันวาคม 2487(1944) - 13.03 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2488(1945) ระกา

13.04 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2488(1945) - 18.53 น. อาทิตย์ 22 ธันวาคม 2489(1946) จอ

18.54 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2489(1946) - 00.42 น.อังคาร23 ธันวาคม 2490(1947) กุน

00.43 น. อังคาร 23 ธันวาคม 2490(1947) - 06.33 น. พุธ 22 ธันวาคม 2491(1948) ชวด

06.34 น. พุธ 22 ธันวาคม 2491(1948) - 12.22 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2492(1949) ฉลู

12.23 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2492(1949) - 18.13 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2493(1950) ขาล

18.14 น.ศุกร์ 22 ธันวาคม 2493(1950) - 23.59 น.อาทิตย์ 23 ธันวาคม 2494(1951) เถาะ

00.00 น.อาทิตย์23 ธันวาคม2494(1951) - 05.42 น.จันทร์22 ธันวาคม2495(1952) มะโรง

05.43 น.จันทร์22 ธันวาคม 2495(1952) - 11.31 น.อังคาร22 ธันวาคม 2496(1953) มะเส็ง

11.32 น.อังคาร 22 ธันวาคม 2496(1953) - 17.24 น.พุธ 22 ธันวาคม 2497(1954) มะเมีย

17.25 น.พุธ 22 ธันวาคม 2497(1954) - 23.10 น.พฤหัส 22 ธันวาคม 2498(1955) มะแม

23.11 น.พฤหัส 22 ธันวาคม 2498(1955) - 04.59 น.เสาร์ 22 ธันวาคม 2499(1956) วอก

05.00 น.เสาร์22 ธันวาคม 2499(1956) - 10.48 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2500(1957) ระกา

10.49 น.อาทิตย์ 22 ธันวาคม 2500(1957) - 16.39 น.จันทร์ 22 ธันวาคม 2501(1958) จอ

16.40 น. จันทร์ 22 ธันวาคม 2501(1958) - 22.34 น. อังคาร 22 ธันวาคม 2502(1959) กุน

22.35 น.อังคาร22 ธันวาคม 2502(1959) - 04.25 น.พฤหัส22 ธันวาคม 2503(1960) ชวด

04.26 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2503(1960) - 10.19 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2504(1961) ฉลู

10.20 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2504(1961) - 16.15 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2505(1962) ขาล

16.16 น.เสาร์22 ธันวาคม 2505(1962) - 22.01 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2506(1963) เถาะ

22.02 น.อาทิตย์22 ธันวาคม2506(1963) - 03.49 น.อังคาร22 ธันวาคม2507(1964) มะโรง

03.50 น.อังคาร 22 ธันวาคม 2507(1964) - 09.40 น.พุธ 22 ธันวาคม 2508(1965) มะเส็ง

09.41 น.พุธ 22 ธันวาคม 2508(1965) - 23.12 น.พฤหัส 22 ธันวาคม 2509(1966) มะเมีย

23.13 น.พฤหัส 22 ธันวาคม 2509(1966) - 21.16 น.ศุกร์ 22 ธันวาคม 2510(1967) มะแม

21.17 น.ศุกร์ 22 ธันวาคม 2510(1967) - 02.59 น.อาทิตย์ 22 ธันวาคม 2511(1968) วอก

03.00 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2511(1968) - 08.43 น.จันทร์22 ธันวาคม 2512(1969) ระกา

08.44 น. จันทร์ 22 ธันวาคม 2512(1969) - 14.35 น. อังคาร 22 ธันวาคม 2513(1970) จอ

14.36 น. อังคาร 22 ธันวาคม 2513(1970) - 20.23 น. พุธ 22 ธันวาคม 2514(1971) กุน

20.24 น. พุธ 22 ธันวาคม 2514(1971) - 02.12 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2515(1972) ชวด

02.13 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2515(1972) - 08.07 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2516(1973) ฉลู

08.08 น.เสาร์ 22 ธันวาคม 2516(1973) - 13.55 น.อาทิตย์ 22 ธันวาคม 2517(1974) ขาล

13.56 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2517(1974) - 19.45 น.จันทร์22 ธันวาคม 2518(1975) เถาะ

19.46 น. จันทร์ 22 ธันวาคม 2518(1975) - 01.35 น. พุธ 22 ธันวาคม 2519(1976) มะโรง

01.36 น.พุธ 22 ธันวาคม 2519(1976) - 07.23 น.พฤหัส 22 ธันวาคม 2520(1977) มะเส็ง

07.24 น.พฤหัส22 ธันวาคม 2520(1977) - 13.20 น.ศุกร์22 ธันวาคม 2521(1978) มะเมีย

13.21 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2521(1978) - 19.09 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2522(1979) มะแม

19.10 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2522(1979) - 00.55 น. จันทร์ 22 ธันวาคม 2523(1980) วอก

00.56 น.จันทร์22 ธันวาคม 2523(1980) - 06.50 น.อังคาร22 ธันวาคม 2524(1981) ระกา

06.51 น. อังคาร 22 ธันวาคม 2524(1981) - 12.38 น. พุธ 22 ธันวาคม 2525(1982) จอ

12.39 น. พุธ 22 ธันวาคม 2525(1982) - 18.29 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2526(1983) กุน

18.30 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2526(1983) - 23.05 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2527(1984) ชวด

23.06 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2527(1984) - 06.07 น. อาทิตย์ 22 ธันวาคม 2528(1985) ฉลู

06.08 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2528(1985) - 12.02 น.จันทร์22 ธันวาคม 2529(1986) ขาล

12.03 น.จันทร์22 ธันวาคม 2529(1986) - 17.45 น.อังคาร22 ธันวาคม 2530(1987) เถาะ

17.46 น.อังคาร22 ธันวาคม 2530(1987) - 23.27 น.พุธ21 ธันวาคม 2531(1988) มะโรง

23.28 น. พุธ 21 ธันวาคม 2531(1988) - 05.21 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2532(1989) มะเส็ง

05.22 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2532(1989) - 11.06 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2533(1990) มะเมีย

11.07 น.เสาร์22 ธันวาคม 2533(1990) - 16.53 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2534(1991) มะแม

16.54 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2534(1991) - 22.43 น.จันทร์21 ธันวาคม 2535(1992) วอก

22.44 น. จันทร์ 21 ธันวาคม 2535(1992) - 04.25 น. พุธ 22 ธันวาคม 2536(1993) ระกา

04.26 น. พุธ 22 ธันวาคม 2536(1993) - 10.22 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2537(1994) จอ

10.23 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2537(1994) - 16.17 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2538(1995) กุน

16.18 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2538(1995) - 22.05 น. เสาร์ 21 ธันวาคม 2539(1996) ชวด

22.06 น. เสาร์ 21 ธันวาคม 2539(1996) - 04.07 น. จันทร์ 22 ธันวาคม 2540(1997) ฉลู

04.08 น.จันทร์ 22 ธันวาคม 2540(1997) - 09.56 น.อังคาร 22 ธันวาคม 2541(1998) ขาล

09.57 น. อังคาร 22 ธันวาคม 2541(1998) - 15.43 น. พุธ 22 ธันวาคม 2542(1999) เถาะ

15.44 น. พุธ 22 ธันวาคม 2542(1999) - 21.36 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2543(2000) มะโรง

21.37 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2543(2000) - 03.20 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2544(2001) มะเส็ง

03.21 น.เสาร์22 ธันวาคม2544(2001) - 09.13 น.อาทิตย์22 ธันวาคม2545(2002) มะเมีย

09.14 น.อาทิตย์22 ธันวาคม2545(2002) - 15.04 น.จันทร์22 ธันวาคม2546(2003) มะแม

15.05 น.จันทร์22 ธันวาคม 2546(2003) - 20.42 น.อังคาร21 ธันวาคม 2547(2004) วอก

20.43 น.อังคาร21 ธันวาคม 2547(2004) - 02.36 น.พฤหัส22 ธันวาคม 2548(2005) ระกา

02.37 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2548(2005) - 08.23 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2549(2006) จอ

08.24 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2549(2006) - 14.08 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2550(2007) กุน

14.09 น.เสาร์22 ธันวาคม 2550(2007) - 20.04 น.อาทิตย์21 ธันวาคม 2551(2008) ชวด

20.05 น.อาทิตย์21 ธันวาคม 2551(2008) - 01.47 น.อังคาร22 ธันวาคม 2552(2009) ฉลู

01.48 น. อังคาร 22 ธันวาคม 2552(2009) - 07.39 น. พุธ 22 ธันวาคม 2553(2010) ขาล

07.40 น. พุธ 22 ธันวาคม 2553(2010) - 13.31 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2554(2011) เถาะ

13.32 น.พฤหัส22 ธันวาคม 2554(2011) - 19.12 น.ศุกร์21 ธันวาคม 2555(2012) มะโรง

19.13 น.ศุกร์21 ธันวาคม 2555(2012) - 01.12 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2556(2013) มะเส็ง

01.13 น.อาทิตย์22 ธันวาคม2556(2013) - 07.04 น.จันทร์22 ธันวาคม2557(2014) มะเมีย

07.05 น.จันทร์22 ธันวาคม 2557(2014) - 12.49 น.อังคาร22 ธันวาคม 2558(2015) มะแม

12.50 น. อังคาร 22 ธันวาคม 2558(2015) - 18.45 น. พุธ 21 ธันวาคม 2559(2016) วอก

18.46 น. พุธ 21 ธันวาคม 2559(2016) - 00.29 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2560(2017) ระกา

00.30 น. ศุกร์ 22 ธันวาคม 2560(2017) - 05.23 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2561(2018) จอ

05.24 น. เสาร์ 22 ธันวาคม 2561(2018) - 12.20 น. อาทิตย์ 22 ธันวาคม 2562(2019) กุน

12.21 น.อาทิตย์22 ธันวาคม 2562(2019) - 18.03 น.จันทร์21 ธันวาคม 2563(2020) ชวด

18.04 น. จันทร์ 21 ธันวาคม 2563(2020) - 00.00 น. พุธ 22 ธันวาคม 2564(2021) ฉลู

00.01 น. พุธ 22 ธันวาคม 2564(2021) - 05.49 น. พฤหัส 22 ธันวาคม 2565(2022) ขาล


                                                         กลับ



      


      


            

10.2.54

พุทธฎีกาพยากรณ์

          เรื่องพุทธทำนาย หรือ พุทธฏีกาพยากรณ์ของพระพุทธองค์นั้น ได้มีการเผยแพร่แก่สาธารณชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเหล่าพุทธบริษัท ผู้ยึดมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนามาเป็นเวลานานหลายร้อยปีทีเดียว ทั้งจากคำบอกเล่าของพระเถรานุเถระที่เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่เล่าสืบต่อกันมา มีการบันทึกเอาไว้ในคัมภีร์พุทธศาสนา แม้กระทั่งที่อินเดียเองในเขตมหาวิหารสวนมฤคทายวัน อันเป็นที่แสดงธรรมโปรดแก่ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็ได้มีการบันทึกเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรบนแผ่นหิน หรือ "ศิลาจารึก" (เข้าใจว่าเป็นภาษามคธ หรือภาษาบาลี) และในส่วนที่เป็นภาษาไทยที่มีการพิมพ์เผยแพร่ดังท่านได้อ่านท่านพระอาจารย์จรัญ ฐิตธัมโม แห่งวัดอัมพวัน สิงห์บุรี

          สาธุ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้น เมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนมายุอยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า

          ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลาย ที่เกิดในยุคนั้นจะพบแต่ความลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลายแผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ

          คนในสมัยนั้น(คือปัจจุบัน) จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎแห่งธรรมชาติไม่พ้น

          เริ่มแต่พระพุทธศาสนาล่วงเลย ๒,๕๐๐ ปีเป็นต้นไป ไฟจะลุกลามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงเผาผลาญ เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ มหาสมุทรจะชอกช้ำ สงครามจะทั่วทิศ ศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลน ทั่วแคว้นจะอดอยากผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมืองทรงเมืองจะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจจะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาด โลกดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ ในระยะนั้นศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมเชื่อคำของคนโกงกล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติปฏิบัติดี กลับไม่มีใครเคารพยำเกรง

          พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์อยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวรรษา

           ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อนับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีล ๕ ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษรู้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตนตามคำสอนของตถาคตให้มั่นคง จึงพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล

          พระพุทธทำนายหรือพุทธฏีกาพยากรณ์ดังว่านี้ พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสแก่พระอานนท์ พระพุทธอนุชา ซึ่งปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดจวบจนเสด็จสู่ปรินิพพาน อันพระอานนท์นั้นนับได้ว่าเป็นผู้ที่ฟังธรรมของพระพุทธองค์มากที่สุด เป็นบุคคลสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฏกครั้งที่ ๑ ท่านเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ ท่านได้ถ่ายทอดหลักธรรมของพระพุทธองค์ที่ได้ยินได้ฟังมา แก่ที่ประชุมสงฆ์ และได้ใช้เป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนามาจนทุกวันนี้

          เมื่อพระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนา ได้ทรงมีพุทธดำรัสว่า ศาสนาของพระพุทธองค์นั้น จะมีอายุเพียง ๕,๐๐๐ ปี เท่านั้น ต่อจากนั้นโลกก็จะว่างจากศาสนา อยู่ในช่วงกลียุคจวบจนถึงวาระอันควร โลกก็จะอุบัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาใหม่อีกพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า "พระศรีอาริยเมตไตรย์" เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ นับเป็นองค์สุดท้ายในภัทรกัปป์นี้

          ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านได้ตรัสถามแก่พระอานนท์ว่า ในศาสนาของตถาคตรวม ๕,๐๐๐ ปีนี้ใครจะขออะไรบ้าง

- พระอานนท์ก็ทูลขอให้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ภิกษุณี ชี พราหมณ์ อุบาสก อุบาสิกา เป็นผู้ดูแลและบำรุงพระศาสนาเป็นเวลา ๒,๕๐๐ปี

พระพุทธองค์ก็ตรัสถามต่อไปว่า ใครจะขออะไรอีก

- เหล่าเทพยดาทั้งหลาย ทั้งพระอินทร์ พระพรหม จึงทูลขอให้เหล่าทวยเทพทั้งหลาย ได้ปรนนิบัติบำรุงพระศาสนา เพียงครึ่งหนึ่งของพระอานนท์ คือ ๑,๒๕๐ ปี

พระองค์ก็ทรงอนุญาตและก็ได้ตรัสถามต่อไปอีกว่า ยังเหลืออยู่ ๑,๒๕๐ ปี นั้นเล่า ใครจะขอต่อไป

- บรรดาเหล่าครุฑาวาสุกรี คนธรรม์ นาฏกุเวร นาคราช กินนร กินรี และภูติผีปีศาจ จึงทูลขอคุ้มครองดูแล และปรนนิบัติบำรุงต่อไปอีก ๑,๒๕๐ ปี โดยร่วมแรงร่วมใจกันผนึกกำลังกันไปจนกว่าศาสนาจะค่อย ๆ เรียวลงไป มนุษย์ก็จะเล็กลง ๆ ไปตามลำดับ ถึงกับจะต้องขึ้นแป้นขึ้นบันได สอยลูกมะเขือ ปีนขึ้นต้นเก็บเม็ดพริก พระสงฆ์องคเจ้าก็จะร่อยหรอเหลือไว้เพียงผ้าเหลืองผืนน้อย ๆ ห้อยอยู่ที่หูเพื่อได้เป็นที่สังเกตดูว่านั่นแหละพระสงฆ์ จนกระทั่งเล็กลงหรือเรียวลง เสื่อมลงจนหมดสิ้นพอดี ๕,๐๐๐ปี ตามพระพุทธฏีกากำหนดไว้

 
          ในพุทธทำนายบอกว่า เหตุการณ์ในคำทำนายจะบังเกิดขึ้นหลังจากพระพุทธศาสนาล่วงแล้ว ๒,๕๐๐ ปี หรือ กึ่งพุทธศตวรรษ (พุทธศตวรรษ คือกำหนดอายุพระพุทธศาสนา ที่ได้ทรงกำหนดไว้เพียง ๕,๐๐๐ ปี) แต่เท่าที่ปรากฎในปัจจุบัน เหตุการณ์เลวร้ายดังพุทธทำนายได้เกิดขึ้นมาก่อนหน้านั้น โดยดูได้จากสงครามโลก ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาล้วนเกิดก่อนพุทธศักราช ๒๕๐๐ ทั้งสิ้น ผลของคำทำนายนั้นมีโอกาสเกิดหรือไม่เกิดก็ได้ ตรงตามเวลาหรือคลาดเคลื่อนก็ได้ และต้นเหตุที่ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนคลาดเคลื่อน หรือผิดไปจากคำทำนายนั้นก็คือ "กรรมปัจจุบัน"

          ขอยกตัวอย่างย้อนหลังถึงคำทำนายของพระสารีบุตร ที่มีต่อสามเณรในสำนัก ที่ทำนายว่าเณรจะต้องตายภายใน ๗ วัน แล้วเณรไม่ตายเพราะนำปลาที่ใกล้ตายไปปล่อยในแม่น้ำสายใหญ่ กรรมที่เณรปล่อยปลานั้นเป็นกรรมปัจจุบันที่ลบล้างกรรมแต่อดีตไม่ให้ส่งผล เพราะปลาฝูงนั้นบังเอิญเป็นเจ้ากรรมนายเวร เขาอโหสิกรรมให้เป็นอันว่าเลิกรากันไป อย่างชาติสุดท้ายของพระอรหันต์องคุลีมาลก็เช่นกัน กรรมที่ฆ่าคนถึง ๙๙๙ ศพ นั้น น่าจะนำให้ท่านไปลงนรกมากกว่าไปนิพพาน แต่กรรมปัจจุบันของท่านที่ได้บวชเรียนปฏิบัติธรรมอย่างเคร่งครัด จนทำให้เจ้ากรรมนายเวรเขาอโหสิกรรมให้ เจ้ากรรมนายเวรของท่านองคุลีมาลก็คือ คนจำนวน ๙๙๙ คน ที่เคยฆ่าท่านเมื่อครั้งที่ท่านเกิดเป็นเต่าใหญ่ แล้วเอาเนื้อท่านมาแบ่งกันกิน ดังนั้นหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายตัดกรรม ก็จะมีการอโหสิกรรมหรือยกเลิกกรรมทันที

          "กรรมปัจจุบัน" มีส่วนสำคัญอย่างมากต่อผลคำพยากรณ์ ดังนั้นการที่สงครามโลกจะเกิดก่อนกึ่งพุทธกาล จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ข้อสำคัญเกิดขึ้นใกล้กึ่งพุทธกาลนี่ซิครับ น่าทึ่ง แล้วรายละเอียดของคำพยากรณ์ในข้ออื่น ๆ ที่บ่งบอกเอาไว้อีก แทบจะถูกต้องไม่ผิดเพี้ยนเลย

          ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาตถาคตล่วงเลยไปถึงกึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้นจะพบแต่ความลำบากทุกชาติ ทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกทำลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทิศ

          คนในสมัยนั้น จะมีวิสัยโหดดุจกำเนิดจากสัตว์ป่าอำมหิต จะรบราฆ่าฟันกันถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคต ก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย และคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎแห่งธรรมชาติไม่พ้น 

          สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดในโลก คือ "มนุษย์" ซึ่งท่านพุทธทาสภิกขุ แปลว่า "ผู้มีใจสูง" แต่อันที่จริงถ้าจะแปลคำว่า "มนุษย์" ไปอีกความหมายหนึ่งก็จะแปลได้ว่า "ผู้มีจิตใจเป็นเลิศ เป็นเอก เป็นหนึ่ง ไม่มีใครทัดเทียมได้" มนุษย์อาจทำได้ทุกอย่างทั้งสิ่งที่เลวที่สุดชนิดที่สัตว์อื่นทำไม่ได้ และมนุษย์ก็เช่นเดียวกันสามารถทำสิ่งที่ดีที่สุดชนิดที่ อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน

          ในหลักคำสอนของพระพุทธศาสนานั้น ท่านได้สอนให้พุทธบริษัทตระหนักถึง "ไตรลักษณ์" หรือลักษณะอันเป็นจริงตามธรรมชาติ ๓ ประการ คือ "เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป " หรือ " อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เมื่อเกิดขึ้น ก็จะมีทุกข์ (อาจจะสุขบ้างแต่ก็น้อยกว่าทุกข์) เมื่อมีทุกข์ หรือสุข ก็จะดำรงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ตามแต่เวรกรรมที่สร้างและกำหนดไว้ แต่พอสิ้นสุดแห่งทุกข์หรือสุข ก็จะมีการแตกตับหรือสูญสิ้นไป ไม่จีรังยั่งยืน โลกของเราก็เหมือนกัน เมื่อเกิดได้ก็ย่อมแตกดับได้ไปตามกาลเวลา และการแตกดับของโลกนั้น ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวทำให้แตกดับ แต่เป็นมนุษย์โลกในดาวดวงเดียวกันนี่แหละทำให้เป็นไป

          หลังกึ่งพุทธกาล ท่านจะเห็นได้ว่าโลกเราได้รับภัยพิบัติธรรมชาติบ่อยครั้ง แต่ละครั้งรุนแรงคร่าชีวิตพลโลกไปไม่น้อย สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะธรรมชาติไม่สมดุล มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีต่าง ๆ ขึ้นมาใช้ ซึ่งบางอย่างก็ได้ทำลายสมดุลแห่งธรรมชาติ ทั้ง ๆ ที่มนุษย์รู้ก็รู้ตัวว่าทำลายแต่ก็จะทำเสียอย่างใครจะทำไม ? พระองค์ท่านตรัสว่า แผ่นดิน แผ่นน้ำ จะลุกเป็นไฟ เพราะมีการรบราฆ่าฟันกันเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ

          ท่านก็คงจะเห็นจริงแล้ว ถึงสงครามล้างเผ่าพันธุ์ในเขมร แม้กระทั่งยิวกับอาหรับก็ยังเป็นศัตรูคู่แค้นทำสงครามกันมานานนับศตวรรษ เมื่อมนุษย์ฆ่าสัตว์จนหมดป่า ป่าถูกทำลาย พวกสัตว์ป่ามันคงจะเกิดเป็นสัตว์ไม่ได้อีกต่อไป วิญญาณสัตว์ป่าของมันจึงมาเกิดในร่างมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีจิตใจโหดร้ายเยี่ยงสัตว์ป่าหรือยิ่งกว่า เพราะมีสติปัญญาดีกว่า ดังนั้นอันตรายย่อมมากกว่าเมื่อมีการประหัตประหารกัน

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ไฟที่ลุกลามมาทางทิศตะวันออก หมายถึงพวกญี่ปุ่น ที่หวังจะยึดครองเอเซียอาคเนย์ (ประเทศญี่ปุ่นอยู่ทางทิศตะวันออกของไทย-อินเดีย) มีการทิ้งระเบิดของพวกสัมพันธมิตร ไม่ต้องห่วงเลยครับว่ากรุงเทพ ฯ จะเป็นอย่างไร วัดราษฏร์บูรณะ ที่อยู่เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า ถูกระเบิดเสียราบเรียบ เพราะอยู่ใกล้โรงไฟฟ้าซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ เป็นยุคข้าวยากหมากแพง พระเณรแทบอดตายสึกหนีหาย หนีภัยสงครามไปก็เยอะ คำว่า แมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัวมาปล่อยไข่เป็นไฟเผาผลาญ ก็หมายถึงเครื่องบิน บี 52 มาทิ้งระเบิด ไฟลุกทั่วเมืองนั่นเอง

          องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ตรัสเตือนพุทธบริษัทให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น แม้จะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ก็ผ่อนปรนกรรมให้บรรเทาเบาบางได้ อย่างเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ประเทศไทยเกือบจะสูญสิ้นเอกราชและถูกแบ่งแยกประเทศ เพราะรัฐบาลไทยประกาศร่วมสงครามกับญี่ปุ่น ทำให้ประเทศต้องย่อยยับ แม้จะอ้างว่าทานกำลังอำนาจญี่ปุ่นไม่ได้ก็ตาม ยังดีที่มีกลุ่มคนไทยรักชาติทั้งในและต่างประเทศ ร่วมกันก่อตั้งขบวนการเสรีไทยขึ้นมา เมื่อสิ้นสงคราม ไทยจึงหลุดพ้นจากการถูกยึดครองและจ่ายค่าปฎิมากรรมสงคราม ถ้าจะมองอีกด้านหนึ่ง เป็นเพราะเมืองไทยเราเป็นเมืองพระพุทธศาสนา ชาวไทยในสมัยนั้นยึดมั่นในขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม เคร่งครัดในคำสอนของพระพุทธองค์ ทำให้รอดพ้นมาได้ ดังพุทธทำนายที่ว่า "เวไนยสัตว์ผู้ขวนขวายในกุศลตามวัจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติ จักเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น"

          คำว่า "เหล็กกล้าจะทะยานจากน้ำ" อันนี้คงหมายถึง เครื่องบินที่ทะยานขึ้นมาจากเรือบรรทุกเครื่องบิน นั่นเอง ท่านผู้อ่านจะเห็นได้ว่า คำพยากรณ์ของพระพุทธองค์นั้น ถ้าเข้าใจความหมายแล้ว ตีความออกมาไม่ยาก ไม่ต้องถอดรหัส ผสมอักษรให้วุ่นวาย เหมือนคำพยากรณ์ ของท่าน"นอสตราดามุส"

          "ยักษ์หินที่ถูกสาปให้หลับมาเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก" ยักษ์หินก็คือ "ภูเขาไฟ" ที่ดับสนิทมาเป็นเวลานาน ตื่นขึ้นมาก็คือ ประทุขึ้นมาอีกที่เรียกว่า "ภูเขาไฟระเบิด" และเชื่อว่าถ้าจะถึงขั้นอาละวาดทำลายโลกแล้วล่ะก็คงไม่ใช่ลูกเดียวเป็นแน่ และเมื่อภูเขาไฟระเบิด(อาจเป็นภูเขาไฟใต้น้ำก็ได้) ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง ก็คือพื้นดินจะทรุดนั่นเอง แผ่นดินจะล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะ นักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญ (ตอนนี้เหมือนกับคำทำนายสุบินนิมิตของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่ได้นำเสนอไปแล้ว)

          เมื่อโลกผ่านกลียุคมาได้ ไม่ถึงกับแตกทำลาย พระพุทธองค์ท่านตรัสว่า ในระยะนั้น ศาสนาของตถาคตเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม เชื่อคำของคนโกงกล่าวคำเท็จ ไม่เคารพหลักธรรมเนียม คนประจบสอพลอได้รับการเชื่อถือในสังคม ผู้มีศีลธรรมประพฤติดีประพฤติชอบกลับไม่มีใครเคารพยำเกรง พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายส่องโลกอีกวาระหนึ่ง ก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของ พระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์อยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวรรษา

          ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์โลก ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน

          ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศีล ๕ ประการ เจริญเมตตากรุณา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษ รู้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจประพฤติตามคำสอนของตาคตให้มั่นคง จึงพ้นอันตรายในยุคกึ่งพุทธกาล

          จากพุทธทำนายช่วงท้าย จะเห็นว่าพุทธศาสนาเสื่อมลงมาก จนกระทั่งมีผู้เป็นใหญ่ที่นับถือพุทธศาสนาบังเกิดขึ้น เป็นฆราวาส ๑ และ บรรพชิต ๑ ได้สร้างเสริมบำรุง พุทธอาณาจักร ดำรงพระศาสนาให้คงอยู่ต่อไป จนถึง ๕,๐๐๐ ปี คำว่า อยู่ ณ เบื้องทิศตะวันออกของมัชฌิมประเทศ ความหมายอันนี้ขอตีความว่า หมายถึง "ประเทศไทย" เพราะมัชฌิมประเทศ น่าจะหมายถึงอินเดีย ทิศตะวันออกของอินเดียก็คือ ไทย ไม่น่าจะเป็นประเทศอื่น เพราะประเทศไทยมีรากฐานทางพระพุทธศาสนาที่มั่นคง ไม่ถูกทำลายสูญหายไปง่าย ๆ

        หากผู้ใดตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ประพฤติตนอยู่ในหลักคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว โอกาสที่จะรอดพ้นอันตรายจากภัยพิบัติในกึ่งพุทธกาลย่อมมีมาก


                                                          กลับ


            

9.2.54

พุทธทำนาย


       

          ในสมัยพุทธกาล ณ ราตรีหนึ่ง พระยาปัตเวน หรือ พระเจ้าปเสนทิโกศล จอมกษัตริย์ แห่งกรุงสาวัตถีได้ทรงพระสุบินนิมิต(ฝัน) ถึงเหตุประหลาด ๑๖ ประการ จนสะดุ้งตื่นจากพระบรรทม ทรงหวาดหวั่นเป็นกำลัง เมื่อไต่ถามพราหมณ์ปุโรหิตให้พยากรณ์ ก็มีคำพยากรณ์ออกมาว่าจะเกิดอันตรายขึ้น ๓ ประการ คือ ๑. อันตรายแก่ราชสมบัติ ๒. อันตรายแก่พระมเหสี ๓. อันตรายแก่พระชนม์ชีพของพระองค์ ผลคำพยากรณ์พระสุบินนิมิตนี้ เพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ พราหมณ์ได้กราบทูลให้จับสัตว์มาอย่างละ ๔ ตัวเพื่อทำพิธีบูชายัญ

          เรื่องนี้พระนางมัลลิกา (พระมเหสี) ได้ไปทูลถามพระพุทธองค์ พร้อมกับพระเจ้าปเสนทิโกศล ถึงพระสุบินนิมิตอันแปลกประหลาด จึงได้รู้ความจริงจากพระบรมศาสดาว่า "มหาสุบินนิมิต ๑๖ ประการนั้น จะไม่บังเกิดในขณะนั้น และมิได้บังเกิดในรัชกาลของพระองค์ " จึงทำให้พระเจ้าปเสนทิโกศลเลิกพิธีจับสัตว์มาบูชายัญเสีย ด้วยจะเป็นกรรมเวรสืบกันไป และไม่บังเกิดผลดีอย่างไร

          การที่พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงพระสุบินนิมิตเหตุประหลาดถึง ๑๖ ประการนั้นเป็นเพราะเทวดาคงจะต้องการบอกเหตุ โดยอาศัยพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นสื่อ และยังได้ดลใจให้ไปทูลถามพระพุทธองค์จึงได้เกิดคำพยากรณ์ขึ้นเป็นวิสามัญเหตุ และอุบัติการณ์ที่อยู่ในข่ายพระบารมีของสมเด็จพระบรมศาสดาจะได้ทรงตรัสคำพยากรณ์อันเป็นอมตะนี้ ซึ่งรายละเอียดของพระสุบิน และคำพยากรณ์ เป็นอย่างไรก็ขอเชิญท่านผู้อ่านได้สดับ และวินิจฉัยเป็นข้อ ๆ ดังนี้

ข้อ ๑. ในสุบินว่า"ได้เห็นโคอุสุภราช สีดำ ๔ ตัว มาแต่ทิศทั้ง ๔ ทำอาการเหมือนจะชนกันที่หน้าพระลานหลวง ครั้นมหาชนมามุงดูโคอุสุภราชทั้ง ๔ ทำเหมือนจะชนกันจริง ๆ ส่งเสียงคำรามร้องกึกก้อง แล้วต่างตัวต่างก็ถอยหลังไปไม่ชนกันอย่างที่คิด"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "จะมีเมฆดำตั้งขึ้นในทิศทั้ง ๔ เสียงฟ้าลั่นอยู่ครืน ๆ ทำทีเหมือนฝนจะตกแต่ก็มิตก ทำให้เกิดการเสียหายแก่พืชผลเกิดข้าวยากหมากแพงในประเทศ"

ถ้านำเอาพุทธพยากรณ์มาเปรียบเทียบกับดวงดาวในวิชาโหราศาสตร์ "โคอุสุภราชสีดำทั้ง ๔ตัว สีดำ ก็คือ ดาวเสาร์ ซึ่งหมายถึงความทุกข์ยากแห้งแล้ง ส่วนโคอุสุภราช หมายถึง เมฆฝน เพราะเป็นสัตว์สวรรค์บนท้องฟ้า คล้ายเมฆดำอันหมายถึงโคดำนั่นเอง"

ข้อ ๒. สุบินว่า "เห็นต้นไม้และกอเล็ก ๆ ผุดขึ้นจากดินแล้วเจริญขึ้นโดยลำดับ ผลิตดอกออกผลในขณะที่เล็กๆอยู่นั้น"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "โลกสมัยต่อไปจะเสื่อม อายุผู้คนจะสั้นแต่กิเลสกลับร้อนแรงขึ้น จะสมสู่กันแต่เล็ก ๆ จนเกิดลูกหลานเมื่ออายุยังน้อย เหมือนต้นไม้เล็กมีดอกผลฉะนั้น"

          พุทธทำนายข้อนี้ ปัจจุบันได้บังเกิดให้เห็นกันบ้างแล้ว ถึงแม้ความเจริญทางด้านการแพทย์จะสูงขึ้น แต่คนก็ยังอายุสั้นและตายกันง่ายอยู่ดี เพราะสภาพมลภาวะที่เป็นพิษและอาวุธที่ทันสมัย ฆ่ากันให้ตายได้ในพริบตาเดียว นี่ขนาดยังไม่รวมถึงโรคร้ายที่รักษาไม่หาย เช่น เอดส์ หรือ มะเร็ง ส่วนการที่คนมีกิเลสตัณหามากขึ้น มีการสมสู่กันแต่เล็ก ๆ 

ข้อ ๓. สุบินว่า "แม่โคดูดนมลูกโค ซึ่งเกิดในวันนั้น"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า " ต่อไปการเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่ เช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ จะเสื่อมถอยลง และในทางตรงกันข้าม ผู้ใหญ่ต่างหากจะต้องประจบเด็ก เหมือนแม่โคดูดนมลูกโคฉะนั้น"

          ในปัจจุบันผู้ใหญ่ในความคิดของเด็ก ๆ เหมือนหัวหลักหัวตอ ที่จะมาเคารพนบไหว้นั้นไม่ค่อยจะมีให้เห็น เมื่อสัก ๕ หรือ ๖ ปี มานี้ ได้มีลัทธิอุบาทว์ เข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย มีคนหลงเข้าไปเป็นสาวกอยู่มาก มาจากพวกเกาหลีหรือญี่ปุ่นนี่แหละ มีการสอนให้ทำสมาธิ สอนไปสอนมาดันสอนออกมาได้ว่า "พ่อแม่มีหน้าที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดู ไม่ได้ถือเป็นบุญคุณอะไร" ตอนหลังกระทรวงศึกษาธิการทราบเข้า ก็เลยสั่งปิดสำนักต่าง ๆ ไปเสียหลายแห่ง และห้ามนำมาเผยแพร่เด็ดขาด 

          เรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องมาประจบเอาอกเอาใจเด็กก็เหมือนกัน มีให้เห็นกันดาษดื่น ประเภทรักลูกโอ๋ลูกจนลูกเสียคน ดูอย่างนายพลคนหนึ่งที่ลูกชายไปก่อเวรสร้างกรรมกับภรรยา ที่มีดีกรีเป็นถึงรองนางสาวไทยและยังไปก่อกรรมกับชาวบ้านทำให้เดือดร้อนกันทั่ว แม้กระทั่งตำรวจบนโรงพักยังโดนเลย แต่แทนที่ผู้เป็นพ่อจะเห็นกับคุณธรรมหรือส่วนรวม กลับเข้าข้างลูกตนชนิดดำเป็นขาวทีเดียว 

ข้อ ๔. สุบินว่า "เห็นคนเอาโคกำลังเอกหรือมีพละกำลังแข็งแรง ปล่อยปละเอาไว้ไม่นำเข้าเทียมแอก แต่กลับนำเอาโครุ่นที่ปราศจากกำลังมาใช้เทียมแอกแทน ซึ่งเจ้าโครุ่นเมื่อไม่สามารนำเกวียนแล่นได้ ก็สลัดแอกนั้นเสีย" (โครุ่น เปรียบเหมือนเด็กวัยรุ่น ๑๕-๑๖, โคกำลังเอก เหมือนผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์)

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปผู้มีปัญญาจะไม่ได้รับการยกย่องในหน้าที่ราชการ แต่ยศศักดิ์จะถูกนำไปให้แก่หนุ่มโง่ ๆ ซึ่งไม่สามารจะปฏิบัติราชการให้ดีได้ เหมือนคนปล่อยโคมีกำลังออกแล้วนำโครุ่นมาเทียมแทนนั้น"

          ข้อนี้จริงแท้แน่นอน เหมือนกับคำพังเพยที่ว่า "ผู้ดีเดินตรอก ขี้ครอกเดินถนน" ฉันใดก็ฉันนั้นขอยกตัวอย่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สมัยกรุงศรีอยุธยา ก่อนที่จะเสียกรุงครั้งที่ ๑ ในรัชสมัยของสมเด็จพระมหินทราธิราช ที่ทรงหลงกลพระเจ้าบุเรงนองที่แกล้งปล่อยพระยาจักรี ที่ถูกจับได้ในสงครามคราวก่อนให้มาเป็นไส้ศึก เมื่ออำนาจการบัญชาการสูงสุดในการป้องกันพระนครตกอยู่กับคนชั่วอย่างพระยาจักรี มันก็แกล้งสับเปลี่ยนตำแหน่งให้คนอ่อนแอไม่เอาไหนอยู่ด้านหน้า คนดีมีฝีมือก็ย้ายไปอยู่เสียด้านอื่นที่ไม่มีข้าศึกมาประชิด หากใครกล้าหือก็จะถูกกำจัดเสียด้วยเล่ห์กลต่าง ๆ และอำนาจที่มีอยู่ขนาดพระศรีเสาวภาคย์ พระอนุชาแท้ ๆ ของพระมหินทร์ ที่มีความสามารถมากในการป้องกันพระนครยังถูกใส่ความว่าจะเป็นกบฎจนต้องพระราชอาญาถึงประหารชึวิตในที่สุด

ข้อ ๕. สุบินว่า "เห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองข้าง คนสองคนยื่นข้าวให้ม้าคนละปาก ม้าเคี้ยวข้าวกล้าด้วยปาก ๒ ข้างนั้น”

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า ต่อไปผู้ใหญ่ในประเทศจักโลเล ไม่ยุติธรรม รับสินบนจากคู่ความทั้งสองฝ่าย แล้วตัดสินตามใจชอบของตน เอาแต่สินบนเป็นประมาณ เหมือนม้าเคี้ยวข้าวกล้าด้วยปากทั้งสองข้างฉะนั้น

          ท่านผู้อ่านคิดว่าคนประเภทเห็นสินบนเป็นสรณะ ดั่งพุทธทำนายมีไหมครับในปัจจุบัน หรือหลังจากพุทธกาลล่วงมาแล้ว ถ้านึกไม่ออกลองหาละครประวัติศาสตร์ของไทย เช่น เรื่องสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , สมเด็จพระศรีสุริโยทัย หรือละครจีนเรื่อง เปาบุ้นจิ้นมาดูซิครับ คงจะเห็นภาพพจน์ ตามพุทธทำนายได้ชัดเจนยิ่งขึ้นกระมัง

ข้อ ๖. สุบินว่า "คนเอาถาดทองคำราคาแสนตำลึง เอาไปให้สุนัขจิ้งจอก แล้วสุนัขนั้นก็ถ่ายปัสสาวะในถาดทองคำนั้น"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปคนดีมีตระกูลจะยากไร้สิ้นอำนาจวาสนา คนตระกูลต่ำจะได้เป็นใหญ่ ผู้มีตระกูลจะยกลูกสาวให้แก่ผู้ไม่มีตระกูล เหมือนสุนัขจิ้งจอกถ่ายปัสสาวะลงในถาดทองคำนั้น"

          เคยได้ยินคำว่า "ผู้ดีตกยาก" ใช่ไหมครับ แล้ว "ขี้ข้าครองเมือง" ล่ะ ก็คงได้ยินเหมือนกัน เมื่อก่อนนี้มีคำพังเพยว่า "สิบพ่อค้าไม่เท่ากับหนึ่งพระยาเลี้ยง" แต่สมัยปัจจุบันนี้ คำพังเพยข้อนี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะพวกพ่อค้านักธุรกิจทั้งหลายต่างก็มียศศักดิ์เป็นถึงรัฐมนตรีหรือเสนาบดีหลายต่อหลายท่าน พวกข้าราขการประจำน่ะหรือ ขืนไม่เป็นสนลู่ลมล่ะก็มีหวัง เด้ง ดึ๋ง ดึ๋ง แน่ ดีไม่ดีหากอยากก้าวหน้าหรือรักษาเก้าอี้เอาไว้ ถ้ามีลูกสาวสวย ๆ ล่ะก็ อาจจะนำไปเป็นเครื่องบรรณาการแด่ท่านผู้เป็นใหญ่ที่มาจากตระกูลต่ำต้อย สมดังพุทธทำนายก็ได้นะครับ

ข้อ ๗. สุบินว่า " เห็นบุรุษหนึ่งนั่งฟั่นเชือกอยู่บนตั่ง หย่อนปลายเชือกที่ฟั่นแล้วห้อยไปใต้ตั่งสุนัขจิ้งจอกตัวเมียนอนอยู่ใต้ตั่งหิวจัด ได้กัดกินเชือกที่บุรุษฟั่นนั้นไปเรื่อย ๆ ยิ่งฟั่นก็ยิ่งหมดลงไปทุกทีแต่บุรุษนั้นหารู้ไม่"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า " ต่อไปหญิงทั้งหลายจะเหลาะแหละกับผู้ชายและชอบเสพสุรา ชอบซื้อแต่เครื่องประดับตกแต่งตน ชอบทำเสน่ห์ยาแฝด มิได้เหลียวแลการบ้าน ชอบคบชู้ จะผลาญทรัพย์ที่สามีหามาได้ด้วยความลำบากให้หมดสิ้นไป เหมือนนางสุนัขจิ้งจอกหิวจัด เคี้ยวเชือกที่บุรุษฟั่นนั้นให้หมดไป"

ข้อ ๘. สุบินว่า " ได้เห็นกระออมใหญ่ใบหนึ่งมีน้ำเต็มและมีโอ่งเปล่าล้อมกระออมใหญ่อยู่หลายใบ มีคนมาตักน้ำจาก ๘ ทิศ เทลงในกระออมที่มีน้ำเต็มอยู่แล้ว แทนที่จะเทลงในโอ่งเปล่าที่ไม่มีน้ำ ดังนั้นน้ำในกระออมจึงไหลล้นออกมา "

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "คนที่รวยอยู่แล้วยิ่งมีคนยากจนมาหารายได้ให้ หรือส่งเสริมให้รวยมากขึ้น การที่คนจนมาทำงานส่งเสริมให้คนรวย แทนที่จะสร้างฐานะให้ตนเองร่ำรวย ก็เหมือนคนที่มาตักน้ำใส่กระออมอันมีน้ำเต็มอยู่นั่นเอง”

ข้อ ๙. สุบินว่า "สระใหญ่แห่งหนึ่งมีบัวนานาชนิดขึ้นอยู่เต็ม มีท่าขึ้นลงอยู่รอบสระ สัตว์ต่าง ๆ พากันลงมาดื่มน้ำในสระ แต่แทนที่ริมสระน้ำจะขุ่นเพราะสัตว์ลงมาดื่มกิน น้ำกลับใส ส่วนที่กลางสระที่สัตว์ต่าง ๆ พากันไปไม่ถึงนั้นแทนที่น้ำจะใสกลับขุ่น"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปผู้เป็นใหญ่ในประเทศจะไม่ตั้งอยู่ในธรรม มักรีดนาทาเร้นราษฏรในเมืองหลวง ทำให้ราษฏรทนไม่ได้ก็เลยอพยพไปอยู่ยังชายแดนหมด เมืองหลวงก็ว่างเปล่าไม่มีคนส่วนชายแดนหนาแน่นด้วยผู้คน เหมือนกลางสระน้ำขุ่นริมสระน้ำใสนั้น"

          ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายก่อนเสียกรุง มีผู้คนไม่น้อยที่อพยพหลบหนีภัยสงครามบ้าง ภัยจากพวกขุนนางฉ้อฉลบ้าง ออกไปอยู่นอกเมืองหรือจะเรียกว่า "เข้าไปอยู่ในป่าก็ได้" แม้กระทั่งพระยาวชิรปราการ หรือพระยาตาก(สิน) ก็ยังรวบรวมสมัครพรรคพวก ฝ่าวงล้อมพม่าออกไปตั้งมั่นยังหัวเมืองชายฝั่งตะวันออกเลยเพราะทนความเหลวแหลกของผู้เป็นใหญ่ในสมัยนั้นไม่ไหว

ข้อ ๑๐. สุบินว่า "เห็นข้าวหุงในหม้อใบหนึ่ง มี ๓ อย่าง คือ ข้างหนึ่งดิบ ข้างหนึ่งเปียก อีกข้างหนึ่งเป็นท้องเลน"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปเมื่อคนไม่อยู่ในศีลธรรมแล้ว ฝนก็จะไม่ตกโดยทั่วถึง ส่วนที่ไม่ตกเลย ข้าวกล้าก็เหี่ยวแห้ง ส่วนตกพอดีข้าวกล้าก็งอกงาม เหมือนข้าวสุกในหม้อเดียวกันมีเป็น ๓ อย่าง"

ข้อ ๑๑ . สุบินว่า " เห็นคนเอาแก่นจันทน์ราคาแสนตำลึง ไปแลกกับนมโคที่เสีย"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปภิกษุอลัชชีไม่มียางอาย จะนำธรรมที่ตถาคตกล่าวติเตียนความโลภ ไปแสดงให้คนอื่นละความโลภ แล้วพากันบริจาคจตุปัจจัยให้แก่ตน ภิกษุอลัชชีเหล่านั้นจะเที่ยวไปนั่งแสดงธรรมในที่ต่าง ๆ เพื่อหวังลาภ เหมือนคนเอาแก่นจันทน์อันมีค่า(ธรรมของพระพุทธองค์)ไปแลกกับนมโคเสีย(ทรัพย์สินเงินทองที่คนพากันมาบริจาค)"

          การติดกัณฑ์เทศน์ หรือการถวายจตุปัจจัยไทยทานแก่พระภิกษุสงฆ์ที่นั่งแสดงธรรมบนธรรมมาสน์นั้นเริ่มมีมาแต่สมัยใด เพราะผมเชื่อแน่ว่าในสมัยพุทธกาลไม่มีการกระทำเช่นนี้ในบรรดาเหล่าอุบาสกอุบาสิกาแน่นอน มิเช่นนั้นพระพุทธองค์ท่านคงไม่ทรงมีพุทธทำนายเช่นนี้

          ในเกร็ดประวัติตอนหนึ่งของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพ ฯ เนื่องจากท่านเป็นพระนักเทศน์ หรือ "ธรรมกถึกเอก" ในสมัยนั้น กิจนิมนต์การเทศน์ของท่านจึงมีมาก ไปเทศน์ครั้งหนึ่ง ๆ ได้ข้าวของเครื่องใช้ ผลหมากรากไม้เป็นลำเรือทีเดียว แต่ท่านก็หาได้มีความโลภในอามิสที่ได้รับไม่ อย่างเช่นคราวหนึ่งในขณะที่กลับมาถึงวัดหลังกิจนิมนต์เทศน์ เจ้าลูกศิษย์วัดสองคนที่ช่วยกันพายเรือพาท่านไปนั้น ได้เกิดเถียงกันในส่วนแบ่งข้าวของที่ติดกัณฑ์เทศน์ว่า" กองนี้ของข้าส่วนกองนั้นเป็นของเอ็ง " เจ้าอีกคนหนึ่งเห็นว่ากองที่ตนได้มันน้อยไม่คุ้มค่าเหนื่อย ก็เกี่ยงงอนว่า "เฮ้ยไม่ได้ ของข้าต้องกองนี้ เอ็งเอากองนั้นไป " เถียงกันอยู่นั่นแหละครับ จนสมเด็จโตท่านคงรำคาญ เลยตัดบทพูดสัพยอกไปว่า "แล้วของฉันล่ะกองไหน" เท่านั้นแหละครับถึงยุติการถกเถียงกันลงไปได้ เพราะในการไปเทศน์แต่ละครั้งนั้น ท่านไม่ได้เคยนึกอยากจะไปเทศน์เพราะหวังในอามิสแม้แต่ครั้งเดียว ข้าวของที่ได้มา ลูกศิษย์มักจะแบ่งกันไป หรือไม่เช่นนั้นท่านก็จะนำไปให้พระ เณร รูปอื่น หรือคนยากไร้ทุกครั้งไป นี่แหละครับ "เนื้อนาบุญอันเลิศของโลก" ที่แท้จริงและหาได้ยากในสมัยปัจจุบัน

ข้อ ๑๒. สุบินว่า " ได้เห็นน้ำเต้าที่เขาคว้านไส้ออก เหลือแต่เปลือกเปล่า ซึ่งควรจะลอยน้ำแต่กลับจมดิ่งลงในน้ำ "

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปถ้อยคำของคนชั่ว ไม่มีศีล ไม่มีธรรม จะมั่นคง ส่วนถ้อยคำของคนดีมีศีลธรรม จะอับเฉา เหมือนน้ำเต้าเปล่าแต่จมน้ำ "

ข้อ ๑๓. สุบินว่า "ได้เห็นหินก้อนใหญ่ ประมาณเท่าเรือนลอยอยู่บนผืนน้ำ เหมือนสำเภาหรือเรือใหญ่ ๆ ฉะนั้น "

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า " ต่อไปคนดีมีศีลธรรมจะไม่มีใครเคารพนับถือ จะเคารพนับถือแต่คนชั่วไร้ศีลไร้ธรรม เหมือนหินลอยน้ำฉะนั้น"

ข้อ ๑๔. สุบินว่า "เห็นนางเขียดเล็กตัวหนึ่ง วิ่งไล่งูเห่าตัวใหญ่ไปโดยกำลังเร็ว แล้วกัดงูเห่ากลืนกิน"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปสามีจะอยู่ในอำนาจของภรรยา จะถูกภรรยาด่าว่าเช่นคนรับใช้เหมือนนางเขียดกินงูเห่าฉะนั้น"

ข้อ ๑๕. สุบินว่า "ได้เห็นหงส์ทองแวดล้อมด้วยกาในที่ต่างๆ "

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า " ต่อไปผู้มีตระกูลจะต้องเที่ยวประจบสวามิภักดิ์ผู้ไม่มีตระกูล เหมือนหงส์ทองแวดล้อมด้วยกาฉะนั้น "

ข้อ ๑๖. สุบินว่า "ได้เห็นแพะไล่ติดตามเสือเหลือง แล้วกินเสือเหลืองเสีย ภายหลังเสืออื่น ๆ เห็นแพะแต่ไกลก็เกิดความหวาดกลัว พากันวิ่งหนีหลบซ่อนไปในที่ต่าง ๆ"

ทรงพุทธพยากรณ์ว่า "ต่อไปศิษย์จะสู้ ครูผู้น้อยจะข่มเหงผู้ใหญ่ คนดีจะถูกคนชั่วเบียดเบียนและจะต้องหลบหลีกซ่อนเร้นไปเพราะกลัวเหมือนเสือหนีแพะฉะนั้น"


          จากพุทธทำนายทั้ง ๑๖ ข้อ จะสังเกตเห็นได้ว่า "เมื่อความเจริญทางด้านวัตุมีมากขึ้นเท่าไร ในส่วนที่เป็นความเจริญในด้านจิตใจ ก็จะต่ำทรามลงมากเท่านั้น และจะต่ำถึงที่สุดถึงขั้นกลียุคเลยทีเดียว "

          ในสมัยพุทธกาลหรือโบราณกาลนั้น สังคมมนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข เพราะสภาพสังคมที่เอื้ออำนวยในทางที่ดี อยู่ในครรลองของศีลธรรม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันครอบครัวที่มีสามี(พ่อ)เป็นหัวหน้าครอบครัว หรือ "ช้างเท้าหน้า" มีภรรยา(แม่) เป็นผู้คอยให้การสนับสนุน ช่วยดูแลบ้านเรือน อบรมกุลบุตร กุลธิดาและบ่าวไพร่ในบ้านให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้วยหลักแห่งพระพุทธศาสนาและจารีตประเพณีที่งดงาม เมื่อหน่วยที่เล็กที่สุดของสังคมสงบสุขเรียบร้อยแล้ว สังคมโดยส่วนรวมย่อมจะสงบสุขเรียบร้อยไปด้วยเช่นเดียวกัน

          แต่ยุคปัจจุบันพุทธทำนายของพระพุทธองค์ได้ปรากฎเด่นชัดให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เสื่อมของจิตใจที่ไม่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม ก่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่สงบสุขเหมือนดังแต่ก่อน ซึ่งเราท่านจะไปตีโพยตีพายโทษใครคนหนึ่งคนใดหาได้ไม่ เพราะมันเป็น "วัฎจักรแห่งธรรม" (ธรรมชาติ) มันย่อมมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แม้แต่พระพุทธศาสนาของพระบรมศาสดาเอง เมื่อพระพุทธองค์ได้ทรงประกาศพระศาสนาแล้ว พระองค์ยังทรงมีพุทธพยากรณ์เกี่ยวกับอายุของพระศาสนาไว้เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น ซึ่งนับว่ามีอายุน้อยที่สุดในภัทรกัปป์นี้ก็ว่าได้


                                                          กลับ


  

8.1.54

สรรสาระ ปีเถาะ

สัญลักษณ์โบราณ กระต่ายป่า 3 ตัว (The Three Hares) มีหูที่เชื่อมกันอยู่เป็นรูปสามเหลี่ยมและกำลังวิ่งไล่กันเป็นวงกลม เป็นความเคลื่อนไหวแบบไม่มีที่สิ้นสุด พบในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายประเทศ


          " กระต่าย " ไม่ได้เป็นตำนานความเชื่อแต่ในแถบบ้านเรา แต่ก็ยังเป็นสัตว์ที่มีเรื่องเล่าและตำนานอยู่ในหลายชาติ ทั้งในแง่ลบและสร้างสรรค์แตกต่างกันไปตามพื้นที่ที่มีกระต่ายเกี่ยวข้องกับภูมิหลังที่คู่ขนานไปกับการพัฒนาของเผ่าพันธุ์ ไปดูความเชื่อของแต่ละชนชาติที่รวบรวมไว้เกี่ยวกับกระต่ายกัน

* แอซเท็ค มีวิหารเทพกระต่าย 400 องค์ " เซ็นต์ซอน โตต็อชติน " (Centzon Totochtin) และยังมีเทพกระต่ายอีก 2 องค์ชื่อ " โอเมต็อชตลิ " (Ometotchtli) เป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์, การเฉลิมฉลอง และความมึนเมา

* แอฟริกากลาง มีกระต่าย " กาลูลู " (Kalulu) มีบุคคลิกฉลาดแกมโกง มีความสามารถในการต่อรอง

* จีน กระต่ายมีความเกี่ยวพันกับดวงจันทร์ และยังเชื่อมโยงกับปีใหม่จีน กระต่ายยังเป็นหนึ่งในสัตว์ 12 นักษัตริย์ในปฎิทินจีน

* ญี่ปุ่น เชื่อว่ากระต่ายอยู่บนดวงจันทร์และกำลังทำแป้งโมจิอยู่บนนั้น ความเชื่อนี้มาจากการสังเกตเห็นเงาบนดวงจันทร์ผนวกกับจินตนาการที่มีลักษณะคล้ายกระต่ายกำลังถือสากยักษ์ตำครกกระเดื่อง

* เกาหลี มีตำนานคล้ายกับญี่ปุ่น ที่เห็นกระต่ายกำลังตำแป้งอยู่บนดวงจันทร์ แต่ว่ากระต่ายเหล่านั้นกำลังทำ " ต็อก " เค้กข้าวของชาวเกาหลี

* ตะวันออกไกล ชาวยิวบอกว่ากระต่ายหมายถึงความขี้ขลาด รวมถึงชาวอิสราเอลที่พูดภาษาฮิบรูก็มีคำว่า " กระต่าย " อันหมายถึง " ขี้ขลาด " เช่นเดียวกับคำว่า " ชิกเก้น " ที่แปลตรง ๆ ว่าไก่ในภาษาอังกฤษ

* อเมริกากลาง ชนเผ่าโอจิบวี (Ojibwe) ชาวอเมริกันดั้งเดิมมีนานาโบโซ (Nanabozho) หรือเทพกระต่ายผู้ยิ่งใหญ่ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโลก

* เวียดนาม มองกระต่ายเป็นสัญญลักษณ์แห่งความไร้เดียงสาและอ่อนเยาว์ มีภาพเหล่าทวยเทพขณะกำลังไล่ล่ากระต่าย ก็เพื่อแสดงให้เห็นพละกำลังของเทพทั้งปวง อีกทั้งเวียดนามก็ยังใช้กระต่ายแทนแมวเป็นสัญญลักษณ์ในปีนักษัตริย์ ทั้ง ๆ ที่เป็นประเทศที่ไม่ค่อยมีกระต่ายอาศัยอยู่

* เกาะพอร์ทแลนด์ ในดอร์เซ็ต สหราชอาณาจักร ก่อนหน้านี้ชาวเมืองเห็นว่า กระต่ายเป็นสัตว์โชคร้าย และการพูดคำว่า “ กระต่าย ” จะทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านเป็นอันตราย ดังนั้นถ้าใครจะพูดถึงกระต่ายก็จะใช้คำเลี่ยง เช่น เจ้าหูยาว แต่ช่วง 50 ปีหลังมานี้ความเชื่อดังกล่าวก็หายไป ผู้คนบนเกาะสามารถพูดคำว่า “ กระต่าย ” ได้อย่างเต็มปาก และ “ เจ้าหูยาว ” ก็กลายเป็นเรื่องเล่าสืบต่อกันมา

* ตีนกระต่าย เป็นเครื่องรางที่เชื่อว่าจะนำโชคให้แก่ผู้พกพา ซึ่งความเชื่อนี้มีอยู่ทั่วโลก และพบหลักฐานเก่าแก่ที่สุดในยุโรปช่วง 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช



                                                      กระต่ายกับเต่า

          กระต่ายปรากฎอยู่ในนิทานมากมาย ที่รู้จักกันดีคือ " นิทานอีสป " ซึ่งเรื่องเล่าของกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งแข่งกับเต่า
       
          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่ามันวิ่งได้เร็วมาก จนหลงตัวเองว่าในป่าแห่งนี้ไม่มีใครวิ่งเร็วชนะตนเองได้ วันหนึ่งกระต่ายเดินร้องเพลงมาอย่างสบายใจและพบกับเต่าเข้า เห็นเต่าคลานต้วมเตี้ยมผ่านหน้าไปกระต่ายจึงพูดกับเต่าว่า “ มัวแต่คลานต้วมเตี้ยมอยู่แบบนี้เมื่อไหร่จะถึงบ้านล่ะ  แบบนี้ข้าว่าข้าต่อให้เจ้าคลานล่วงหน้าไปก่อนสักครึ่งวันข้าก็วิ่งตามทัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ” กระต่ายหัวเราะเยาะเย้ยเจ้าเต่า

“ ข้าก็คลานของข้าแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ” เต่ารู้สึกไม่พอใจที่กระต่ายพูดจาแบบนั้นใส่ตน แล้วพูดต่ออีกว่า “ กระต่ายหลงตัวเองอย่างเจ้าไม่เห็นว่าจะเก่งตรงไหน ดีแต่โม้ไปวันวัน ”

กระต่ายผู้ทะนงในความวิ่งเร็วของตนเอง เห็นเต่าพูดจาอย่างนั้นจึงพูดขึ้นว่า

“ งั้นแน่จริงกล้าวิ่งแข่งกับข้าไหมล่ะ? เจ้าเต่าต้วมเตี้ยม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่กล้าล่ะสิ ”

เต่า ตอบทันควันว่า “ ตกลง…เรามาวิ่งแข่งกัน ใครถึงเส้นชัยก่อนคนนั้นชนะ ”

กระต่ายแทบไม่เชื่อหูตัวเอง “ เจ้านะเหรอกล้าท้าแข่งกับข้า ข้าต่อให้เจ้าก่อนก็ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

          ทันใดนั้นเจ้านกน้อยบินผ่านมาพอดี เต่าและกระต่ายจึงขอให้นกน้อยเป็นกรรมการตัดสินให้ เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น กระต่ายวิ่งออกจากจุดเริ่มต้นด้วยความเร็วสุดฝีเท้านำเต่าไปก่อน พอถึงกลางทางหันกลับไปมองข้างหลังไม่เห็นแม้แต่เงาของเต่า เจ้ากระต่ายจึงนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทางจนเผลอหลับไป ส่วนเจ้าเต่ายังคงคลานต้วมเตี้ยม ๆ อย่างไม่ย่อท้อ โดยมีเพื่อนสัตว์ป่าส่งเสียงเชียร์ให้กำลังใจ เนื่องจากเพื่อนทุกตัวไม่ชอบนิสัยของเจ้ากระต่ายขี้คุย เจ้าเต่ายังคงคลานต่อไปจนแซงหน้ากระต่ายที่มัวแต่นอนหลับอยู่

          เจ้ากระต่ายสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อเจ้าเต่าคลานจะถึงเส้นชัยแล้ว มันรีบวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วหวังจะไล่ให้ทันแต่ก็สายไปเสียแล้ว พวกสัตว์ป่าต่างห้อมล้อมเข้าไปแสดงความยินดีกับเต่าตัวแรกที่สามารถเอาชนะกระต่ายได้ในการวิ่งแข่งขัน เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า : ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น



                                                      กระต่ายตื่นตูม

 
          นอกจากนิทานอีสปแล้ว ทางฝั่งตะวันออกก็มีนิทานชาดกเกี่ยวกับกระต่ายเช่นกัน หนึ่งในนั้นคือเรื่อง " กระต่ายตื่นตูม " ซึ่งเล่าสมัยพระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นราชสีห์

          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง มีดงตาลกับต้นมะตูมอยู่ติดทะเลด้านทิศตะวันตกของป่านั้น ณ ที่ดงตาลนั้นมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ต้นตาลใกล้ต้นมะตูมต้นหนึ่ง วันหนึ่งเจ้ากระต่ายออกเที่ยวหากินจนอิ่มแล้วกลับมานอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลแห้ง กำลังนอนคิดเพลิน ๆ อยู่ว่า " ถ้าหากแผ่นดินนี้ถล่ม เราจะไปอยู่ที่ไหนหนอ " ทันใดนั้นเองผลมะตูมสุกลูกหนึ่งได้หล่นลงมาถูกใบตาลเสียงดังลั่น เจ้ากระต่ายนึกว่าเป็นเสียงแผ่นดินถล่ม จึงร้องขึ้นสุดเสียงว่า "แผ่นดินถล่มแล้ว ๆ " พร้อมกับกระโดดวิ่งหนีไปสุดชีวิตโดยไม่เหลียวหลังมาดูเลย

          กระต่ายตัวอื่น ๆ เห็นมันวิ่งหนีอะไรมาสุดชีวิตจึงร้องถามมันว่า " เจ้าวิ่งหนีอะไรมา " มันทั้งวิ่งทั้งร้องตอบว่า " รีบหนีเร็ว แผ่นดินถล่มแล้ว ๆ " กระต่ายจำนวนนับพันต่างก็รีบวิ่งหนีตายตามมันไปด้วย สัตว์ป่านานาชนิดเมื่อทราบข่าวต่างก็วิ่งหนีตามกระต่ายไป ฝูงสัตว์วิ่งหนีตามกันมาเป็นทิวแถว ราชสีห์เห็นสัตว์น้อยใหญ่วิ่งกันมาฝุ่นฟุ้งกระจายจึงร้องถามไปว่า " พวกเจ้าวิ่งหนีอะไรมา " ได้รับคำตอบว่า " เจ้านาย แผ่นดินที่โน้นถล่มแล้ว พวกเราวิ่งหนีตาย " แล้วก็วิ่งไปต่อ บ่ายหน้าไปทางหน้าผาสูงชันโดยไม่รู้ตัว ราชสีห์ด้วยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลายเกรงว่าจะตกเหวตายเสียหมด จึงวิ่งไปดักข้างหน้าพร้อมกับคำรามเสียงดังลั่นขึ้น ๓ ครั้ง สัตว์ทั้งหลายพอได้ยินเสียราชสีห์ก็พากันตกใจกลัวตื่นจากภวังค์หยุดวิ่ง

          ราชสีห์จึงถามว่า " ใครเห็นแผ่นดินถล่มบ้าง " พวกสัตว์บอกว่า " ช้างเห็นขอรับ " ช้างบอกว่า " เสือเห็น " เสือบอกว่า " แรดเห็น " แรดบอกว่า " ควายเห็น " ควายบอกว่า " หมูป่าเห็น " หมูป่าบอกว่า " กวางเห็น " กวางบอกว่า " กระต่ายเห็น " พวกกระต่าย จึงชี้บอกว่า " กระต่ายตัวนี้เห็นแผ่นดินถล่มครับ..นาย " ราชสีห์จึงถามกระต่ายตัวนั้นว่าเป็นจริงหรือเปล่า กระต่ายตอบว่า " ข้าพเจ้าเห็นจริง ๆ นายท่าน " ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังนอนพักผ่อนอยู่ใต้ใบตาลก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้น ข้าพเจ้าจึงวิ่งหนีตายมานี่ละ.. นายท่าน

          ราชสีห์เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงบอกให้สัตว์ทั้งหลายรออยู่ที่ตรงนี้ส่วนตนและเจ้ากระต่ายจะเดินกลับไปดูสถานที่ต้นเหตุ ตรวจดูเห็นผมมะตูมสุกลูกหนึ่งวางอยู่ก็เข้าใจทันที จึงกลับมาบอกสัตว์ทั้งหลายว่า " ท่านทั้งหลายเลิกกลัวได้แล้ว เสียงแผ่นดินถล่มเป็นเสียงผลมะตูมสุกหล่นกระทบใบตาลแห้ง เลิกกลัวได้แล้ว " สัตว์ทั้งหลายอาศัยราชสีห์จึงเอาชีวิตรอดมาได้

พระพุทธองค์ตรัสพระคาถาว่า

          " พวกคนโง่เขลายังไม่ทันรู้เรื่องราวแจ่มแจ้ง ฟังคนอื่นโจษขานก็พากันตื่นตระหนก พวกเขาเชื่อคนง่าย ส่วนคนเหล่าใดเป็นนักปราชญ์เพียบพร้อมด้วยศีลและปัญญา ยินดีในความสงบและเว้นไกลจากการทำชั่ว คนเหล่านั้นหาเชื่อคนอื่นง่ายไม่ "

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ก่อนแต่จะเชื่ออะไรใคร่ควรพิจารณาตรวจสอบความเป็นจริงเสียก่อน เพื่อความถูกต้องจะไม่ได้เป็นอย่างกระต่ายตื่นตูม


 
                                                  กระต่ายบนดวงจันทร์

          ในทางวิทยาศาสตร์อธิบายว่า " กระต่ายบนดวงจันทร์ " เป็นหลุมอุกาบาตขนาดใหญ่ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เพราะดวงจันทร์ไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม จึงดึงดูดอุกาบาตเข้าตัวเต็มไปหมด จนเกิดหลุมทั้งเล็กใหญ่และมีหลุมส่วนหนึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกระต่าย

          ตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์ มีอยู่ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ไม่ว่าในแอฟริกา ทิเบต เม็กซิโก จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ แต่ทว่าแพร่หลายที่สุดในซีกโลกตะวันออก สันนิษฐานว่าตำนานกระต่ายในดวงจันทร์น่าจะมีต้นกำเนิดในประเทศอินเดีย
          ตามตำนานอินเดีย เชื่อกันว่าภาพที่เห็นบนผิวดวงจันทร์คือ เทพแห่งดวงจันทร์ ชื่อจันทรา ผู้ซึ่งถือกระต่ายไว้ในมือ เนื่องจากคำว่ากระต่ายในภาษาสันสกฤตคือ ศศะ ดังนั้นจึงเรียกดวงจันทร์ว่า ศศิน แปลว่า ซึ่งมีกระต่าย
        
         สำหรับในหมู่ชาวฮอตเทนทอต ชาวพื้นเมืองเร่ร่อนล่าสัตว์ ทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ตำนานกระต่ายบนดวงจันทร์ช่วยอธิบายโรคปากแหว่ง (harelip) ตั้งแต่เกิดของคนเรา ตามตำนานพระจันทร์ส่งกระต่ายลงมายังโลกเพื่อบอกกับมนุษย์ว่าเมื่อเธอตายจะกลับฟื้นขึ้นอีกครั้ง แต่กระต่ายไม่ใส่ใจจึงจำข้อความผิด ๆ ถูก ๆ ไปบอกมนุษย์ว่า พระจันทร์ตายแล้ว จะไม่ฟื้นคืนมาใหม่ เมื่อพระจันทร์ทราบว่ากระต่ายทำอะไรลงไป ก็โกรธมากและพยายามจะใช้ขวานจามหัวกระต่าย แต่พลาดไปโดนริมฝีปากบนของกระต่ายแทน เจ้ากระต่ายบาดเจ็บก็ตอบแทนเธอด้วยการข่วนเข้าที่ใบหน้าด้วยอุ้งเล็บของมัน ทำให้เกิดรอยปื้นดำปรากฏบนดวงจันทร์ดังที่เห็นกันทุกวันนี้

           ในนิทานแฝงคติธรรมทางพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับกระต่ายบนดวงจันทร์ เล่าว่า ครั้งหนึ่งมีกระต่าย ลิง นาก และสุนัขจิ้งจอก สาบานร่วมกันว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และบำเพ็ญตนเป็นฤๅษีอยู่ในป่า พระอินทร์อยากทดสอบในศรัทธาของสัตว์ทั้งสี่ จึงปลอมตัวเป็นพราหมณ์เที่ยวขอบริจาคทาน โดยไปขอจากลิงเป็นตัวแรก ลิงมอบมะม่วงให้ จากนั้นพราหมณ์ก็ไปขอทานจากนาก นากถวายปลาซึ่งมาตายเกยตื้นอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ส่วนสุนัขจิ้งจอกก็ถวายนมหม้อหนึ่งและผลไม้แห้ง
          เมื่อพราหมณ์เข้าไปขอบริจาคทานจากกระต่าย กระต่ายพูดกับพราหมณ์ว่า “ ข้ากินแต่หญ้าเป็นอาหาร หญ้าก็ไม่มีประโยชน์ใด ๆ กับท่านเลย ” พราหมณ์จึงเอ่ยขึ้นว่า ถ้ากระต่ายบำเพ็ญพรตเป็นฤๅษีที่แท้จริงแล้ว ขอให้สละชีวิตของตนเพื่อเป็นอาหารแก่พราหมณ์ กระต่ายตอบตกลงทันทีและทำตามที่พราหมณ์ขอร้องว่าให้กระโดดเข้ากองไฟเอง พราหมณ์จะได้ไม่ต้องลงมือฆ่าและปรุงกระต่ายเป็นอาหาร กระต่ายปีนขึ้นยืนบนก้อนหินและกระโดดเข้ากองไฟ ในขณะที่ร่างกระต่ายกำลังจะตกสู่เปลวเพลิงนั้น พราหมณ์ได้คว้าตัวกระต่ายไว้ แล้วเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงว่าคือใคร พระอินทร์นำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์เพื่อให้สิ่งมีชีวิตทั้งมวลในโลกได้เห็นกระต่าย และรับรู้ว่ากระต่ายคือตัวอย่างแห่งการเสียสละตนอันยิ่งใหญ่

          นิทานแฝงคติธรรมทำนองนี้ยังมีเนื้อเรื่องที่ต่างกันไปบ้างเล็กน้อย บางเรื่องก็ว่า ขณะที่พระพุทธเจ้าออกแสวงหาสัจธรรมได้หลงทางไปกลางป่า และมาพบกระต่ายเข้า กระต่ายถวายตัวเป็นอาหารแด่พระพุทธเจ้าโดยกระโดดเข้ากองไฟ แต่พระพุทธเจ้าได้แสดงบุญญาภินิหารช่วยชีวิตกระต่ายขึ้นจากกองไฟ และนำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์
          อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าในร่างของกระต่าย ยินยอมพลีร่างเป็นอาหารแก่สัตว์ที่กำลังอดอยากหิวโหย
          อีกเรื่องหนึ่งว่า ทรงสละตัวเองแก่พระอินทร์ พระอินทร์จึงได้วาดรูปกระต่ายลงบนดวงจันทร์เพื่อเป็นเครื่องรำลึกชั่วนิรันดร์

          ส่วนตำนานจีนเล่าว่า ภาพที่ปรากฏบนดวงจันทร์คือกระต่ายกำลังตำข้าวในครก กระต่ายตัวนี้เชื่อกันว่าเป็นผู้รับใช้เซียนหรือผู้วิเศษ โดยมีหน้าที่ปรุงยาอายุวัฒนะ


                                             ชาวจีนกับ " เทพเจ้ากระต่าย "

          ในบันทึกเยียนจิง (เป็นชื่อเรียกปักกิ่งในอดีต) ระบุไว้ว่า ในอดีตเมื่อถึงวันไหว้พระจันทร์ ชาวเมืองจะนำดินเหลืองมาปั้นเป็นรูปกระต่ายออกจำหน่าย โดยเรียกกระต่ายเหล่านี้ว่า “ เทพเจ้ากระต่าย ” เนื่องจากจีนมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับกระต่ายหยกบนวังจันทรา ดังนั้นคนสมัยก่อนจึงเชื่อว่าเวลาไหว้พระจันทร์ก็ต้องถวายเทพเจ้ากระต่ายนั่นเอง

          ยังมีอีกตำนานเล่าขานเกี่ยวกับความผูกพันระหว่างเมืองปักกิ่งกับกระต่ายเทพ ว่ากันว่ามีอยู่ปีหนึ่งในเมืองปักกิ่งเกิดโรคอหิวาตกโรคระบาดหนัก เกือบทุกบ้านมีผู้ติดเชื้อ รักษาอย่างไรก็ไม่หาย เมื่อเทพธิดาฉางเอ๋อซึ่งอยู่บนดวงจันทร์ได้มองลงมาเห็นภัยพิบัติบนโลกมนุษย์ ก็รู้สึกทุกข์ใจยิ่ง จึงได้ส่งกระต่ายหยกข้างกายที่ปกติตำยาอยู่บนดวงจันทร์ลงมารักษาโรคให้ชาวบ้าน

           กระต่ายหยกแปลงกายเป็นหญิงสาวไปรักษาผู้คนจนหายจากโรค ชาวบ้านรู้สึกซาบซึ้งใจในความช่วยเหลือ จึงได้ตอบแทนด้วยการให้สิ่งของ แต่กระต่ายหยกไม่ยอมรับสิ่งใดเลย แค่ขอยืมชุดชาวบ้านใส่ ไปถึงไหนก็จะเปลี่ยนชุดไปเรื่อย บางทีก็เห็นแต่งกายเป็นคนขายน้ำมัน บ้างก็เป็นหมอดูดวง บ้างแต่งกายเป็นชาย บ้างแต่งเป็นหญิง และเพื่อให้สามารถช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น กระต่ายหยกจะขี่ม้าบ้าง กวางบ้าง สิงโตบ้าง หลังจากกำจัดโรคภัยให้ชาวเมืองเสร็จเรียบร้อย กระต่ายหยกก็กลับขึ้นไปยังวังจันทรา นับแต่นั้นมาชาวบ้านจึงได้กราบไหว้บูชาเทพเจ้ากระต่าย

          หลังจากผ่านกาลเวลาหลายสมัย ศิลปินจีนจึงได้พัฒนารูปลักษณ์ของเทพเจ้ากระต่ายให้มีเอกลักษณ์มากขึ้น โดยช่างจะปั้นให้กระต่ายเทพมีเศียรเป็นกระต่ายร่างกายเป็นคน มือถือสากหยกตำยา ประทับอยู่บนสัตว์พาหนะ ที่เห็นบ่อย ๆ ก็คือเสือ

          ส่วนต้นกำเนิดความเชื่อของเทพเจ้ากระต่ายมีขึ้นในสมัยใดนั้น ยังเป็นที่ถกเถียง แต่ที่แน่ ๆ คือในสมัยราชวงศ์หมิงชาวบ้านก็เริ่มนิยมนำเทพเจ้ากระต่ายมาเป็นเครื่องเซ่นไหว้พระจันทร์แล้ว จวบจนในสมัยราชวงศ์ชิงบทบาทของเทพเจ้ากระต่ายเริ่มเปลี่ยนแปลงกลายมาเป็นของเล่นเด็กในวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพราะสมัยก่อนหากคิดจะกล่อมให้เด็กเชื่อฟัง พ่อแม่ก็มักจะเอาเรื่องเล่าของเทพเจ้ามาหลอมรวมกัน ดังนั้นเทพเจ้ากระต่ายจึงนับเป็นของเล่นเก่าแก่ของเมืองหลวงจีนและยังเป็นงานศิลปะที่สะท้อนชีวิตชาวปักกิ่งในวันวารด้วย ปัจจุบันใครได้ไปปักกิ่งยังคงเห็นเทพเจ้ากระต่ายในบางร้าน แต่ก็ไม่พรั่งพรูเหมือนเมื่อก่อนแล้ว



                                          กระต่ายจอมกวน " Bugs Bunny "

          จอมกวน Bugs Bunny กระต่ายยังเป็นตัวการ์ตูนสุดคลาสสิกระดับโลกของเด็ก ๆ ทุกคนคงรู้จัก Bugs Bunny (บักส์ บันนี่) เป็นอย่างดี บักส์ บันนี่ เป็นกระต่ายเท่ห์ ชอบแทะแครอตเป็นนิจ ไม่แสดงออกถึงความเป็นกระต่ายป่า มันเป็นกระต่ายที่มีไหวพริบ ชอบใช้สมอง พูดจานุ่มนวล แต่แฝงไว้ด้วยความหลักแหลม บักส์ บันนี่ ใช้สมองในการหาเล่ห์กลทุกรูปแบบเพื่อเอาชนะผู้ที่มาแข่งขันด้วย ประโยคติดปากที่มันชอบพูดก็คือ "What's Up Doc?"
          " บักส์ บันนี่ " เป็นหนึ่งในตัวการ์ตูนของ ลูนีย์ทูนส์ บันทึกของนักประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และการ์ตูนระบุว่า บักส์ บันนี่ ปรากฎตัวครั้งแรกในการ์ตูนสั้น Porky' s Hare Hunt ฉายครั้งแรก วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2481 เป็นงานร่วมกันกำกับของ แคล ดัลตัน และเบ็น ฮาร์ดเวย์ ( ฮาร์เวย์ นั้นมีชื่อเล่นว่า " บักส์ " ) โดยเล่าเรื่องราวของนักล่าสัตว์นาม พอร์คกี้ พิก พรานผู้มีท่าทางต๊อง ๆ
          และในหนึ่งในสัตว์ผู้ถูกล่านั่นก็คือกระต่าย ซึ่งต่อมาผู้คนทั้งโลกรู้จักกันในนาม " บักส์ บันนี่ " ปรากฎอยู่ในการ์ตูนชุดนี้อีกหลายตอน โดยผู้กำกับหลายคน เรื่องราวของเขาเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณ์บ้านเมืองในแต่ละยุคสมัย แต่ที่สำคัญและทำให้เจ้ากระต่ายนี้โดดเด่นคือการเผชิญหน้ากับ " ผู้ล่า " ด้วยท่าทางวิธีการพิลึกพิลั่น


                                             กระต่ายสุดเซ็กซี่ " Playboy "       

          กระต่าย PlayBoy ถือเป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของนิตยสารปลุกใจเสือป่าชื่อก้องโลก ชื่อ PlayBoy ซึ่งมี " ฮิวจ์ เฮฟเนอร์ " เป็นเจ้าของ และก่อตั้งเป็นบริษัทขึ้นในปี ค.ศ.1953 สืบเนื่องจากนิตยสาร PlayBoy ได้รับการตอบรับจากแฟนคลับอย่างล้นหลาม
          " Playboy " มีภาพนู้ด มาลิลีน มอนโร เซ็กซี่สตาร์อันโด่งดังขึ้นปกฉบับปฐมฤกษ์ เป็น " เพลย์เมต " หรือ " สาวเพล์บอย " คนแรก เพล์บอยเล่มแรกมาจากการระดมทุนเพียง 8,000 ดอลลาร์ จากเพื่อนและญาติพี่น้อง แต่ปรากฎว่าได้รับการตอบรับดีเกินคาด ( โดนยเฉพาะผู้ชาย )
           ความสำเร็จผลักดันให้เฮฟเนอร์เดินหน้าเร่ขายความฝันต่อ เขาตอบสนองความต้องการของผู้อ่านชายที่มีไลฟ์สไตล์หรูหราด้วยการผสมระหว่างบทความจากนักเขียนดัง ๆ การ์ตูนคมคายและภาพถ่ายสาว ๆ ในชุดวาบหวิว เขาต้องการให้เพล์บอยเป็นอาณาจักรธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นหนึ่งในสินค้าที่มีผู้จดจำได้มากที่สุดในโลก จึงสร้างตราสัญลักษณ์ " กระต่ายผูกโบไทด์ " ขึ้นมาสื่อถึงความแสนซน น่ารัก สดใสของอิสตรี
          จากนิตยสาร เฮฟเนอร์เข้าสู่วงการโทรทัศน์ สู่ธุรกิจแฟชั่นด้วยการผลิตสินค้าต่าง ๆ นานา ติดยี่ห้อกระต่ายเพล์บอย และก่อตั้งเพล์บอยคลับแห่งแรกขึ้น ณ นครชิคาโก ในปี ค.ศ.1963 สาว ๆ บริการในคลับแห่งนี้แต่งกายเป็นกระต่ายน้อยบันนี่ หรือ " บันนี่ เกิร์ล " มีท่าเต้นบันนี่ ดิฟ ที่สุดแสนเซ็กซี่ ครีเอตโดย " ฮิวส์ เคธ " น้องคนเล็กของเฮฟเนอร์
          บันนี่ เกิร์ล มีกฎเหล็กห้ามละเมิดไม่ว่ากรณีใด ๆ พิมพ์ไว้เป็นเล่มหนา 44 หน้า หนึ่งในนั้นที่ต้องจดจำไว้ให้มั่นคือ " สิ่งที่ภูมิใจที่สุดก็คือหางปุยที่อยู่ตรงก้น ที่จะต้องให้มันขาวสะอาดฟูฟ่องอยู่เสมอ "


                                        ภาษิตและคำพังเพย เกี่ยวกับกระต่าย

" กระต่ายตื่นตูม " ใช้เปรียบเทียบกับคนที่แสดงอาการตื่นตกใจง่าย โดยไม่ทันสำรวจตัวเองให้ถ่องแท้เสียก่อน

" กระต่ายสามขา " หมายถึง การยืนกรานไม่ยอมรับ บางแห่งก็ใช้กระต่ายขาเดียว

" กระต่ายหมายจันทร์ " หมายถึง ผู้ชายที่หมายปองหญิงสาวที่มีฐานะดีกว่าตน

" ยิงกระต่าย " หมายถึง การไปปัสาวะข้างทาง ( ใช้กับผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงมักใช้คำว่าไปเก็บดอกไม้ )

" หนวดเต่า เขากระต่าย " หมายถึง ของดี ของวิเศษที่หาได้ยาก หรือหาไม่ได้เลย

" กระต่ายแก่แม่ปลาช่อน " หมายถึง คนที่เต็มไปด้วยมายาเล่ห์เหลี่ยม ( ภายหลังคำนี้ได้เพี้ยนไปเป็น " ไก่แก่แม่ปลาช่อน " ที่หมายถึงหญิงค่อนข้างมีอายุที่มีมารยาเล่ห์เหลี่ยม และมีจริตกิริยาจัดจ้าน )

          และนี่คือเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับ " กระต่าย " ที่นำมาให้อ่านกันเล่น ๆ สนุก ๆ

     
                                                              กลับ