24.8.53
สิว ฝ้า
สิว แบ่งเป็น 2 ชนิด
1.สิวไม่อักเสบ เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน (COMEDONE) แบ่งเป็น 2 ชนิด
1.1 สิวหัวปิด เห็นเป็นตุ่มเล็กๆ หัวขาวๆ
1.2 สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ
2.สิวอักเสบ คือสิวที่หัวแดงๆ หรือเป็นหนอง พวกนี้ก็คือ (COMEDONE) ที่มีการติดเชื้อ(BACTERIA) แทรกซ้อน
ดังนั้น ถ้าเป็นสิวอักเสบ การทำความสะอาดใบหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ และการป้องกันไม่ให้มีการอุดตันที่รูขุมขน(COMEDONE) โดยการใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในตอนกลางวัน ก็พอจะช่วยให้สิวลดลงหรือป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบ คงต้องปรึกษาแพทย์เพราะต้องใช้ปฏิชีวนะ(กินหรือทาแล้วแต่ความรุนแรงของสิว) สิวอักเสบควรจะต้องรีบรักษาถ้าไปแกะหรือบีบหนองออกจะเป็นรอยแผลเป็น บุ๋มตลอดไป รักษายากมาก
การนอนดึกทำให้สิวเพิ่มขึ้นได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบ อาจเป็นเพราะ
1.ร่างกายอ่อนแอ เชื้อ Becteria ในสิวทำให้มีการอักเสบมากขึ้น
2.Hormone เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในผู้หญิง ตัวอย่างเช่น บางคนประจำเดือนหรือขณะตั้งครรภ์จะมีสิวเพิ่มขึ้น
การรักษาสิวมีหลักง่ายๆ 2 วิธี คือ
1. ถ้าเป็นสิวเม็ดเล็กๆ จำนวนไม่มาก ก็ทำความสะอาดผิวหนังและใช้ยาทารักษาสิวบ้างเป็นบางครั้ง
2. ถ้าเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ๆ หลายๆเม็ด ก็ต้องรับประทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย
การจะใช้ยาทาหรือยารับประทาน คงต้องปรึกษาแพทย์อีกครั้งหนึ่ง
ฝ้าแบ่งง่ายๆเป็น 2 ชนิด
1. แบบตื้น (Superficial type) ลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด ขึ้นเร็ว หายเร็ว รักษาโดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆและยากันแดดสามารถหายได้
2. แบบลึก (Deep type) ลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ไม่หายขาด การทายาฝ้าอ่อนๆและยากันแดดพอทำให้ดีขึ้นได้
ข้อแนะนำ
1. คนเป็นฝ้าไม่ควรใช้ยาเองเพราะอาจได้รับยาฝ้าที่แรงเกินไป ทำให้เกิดผลข้างเคียง และเกิดการติดยา หยุดยาไม่ได้
2. แสงแดดทำให้เป็นฝ้าและทำให้ฝ้าเห่อขึ้นได้ เพราะฉะนั้นคนเป็นฝ้าต้องใช้ยากันแดด SPF > 15เป็นอย่างน้อย และหลีกเลี่ยงแสงแดดเสมอ
ส่วนพวกที่ว่าหายแล้วเป็นใหม่แสดงว่าหายเพราะทายา พอหมดฤทธิ์ยาก็กลับเป็นใหม่ พวกนี้เป็นชนิดที่ต้องใช้ยาทาไปเรื่อย ๆ ส่วนเรื่องฤทธิ์แทรกซ้อน จากการใช้ยาขึ้นอยู่กับใช้ยาชนิดใด บางชนิดใช้แล้วหน้าแดงและเป็นสิว ปัจจุบันมียาที่มีฤทธิ์แทรกซ้อนน้อยลง
สาเหตุของการเกิดฝ้า คือ
จากพันธุกรรมขึ้นอยู่กับเชื้อชาติและสีผิว ชนชาติผิวขาวเช่น คนยุโรปไม่ค่อยเป็นฝ้า ส่วนคนผิวคล้ำเช่น คนนิโกร คนอินเดีย ไม่พบปัญหาเรื่องฝ้า ถึงเป็นก็คงมองไม่เห็นเพราะผิวสีคล้ำอยู่แล้ว เป็นผลจากฮอร์โมน ส่วนใหญ่เป็นในคนอายุกลางคนเลยวัยรุ่นไปแล้ว ยิ่งอายุมากขึ้นมีโอกาสที่เป็นมากขึ้น ผลจากฮอร์โมนที่เห็นได้ชัด คือการเกิดฝ้าในคนท้องหรือขณะกินยาคุม ภายหลังคลอดหรือหยุดยา ฝ้าจะค่อย ๆ จางลง แต่มีบางรายถึงแม้สาเหตุหมดไปแล้วแต่ฝ้ายังคงอยู่
เป็นผลจากแสงแดด เนื่องจากแดดมีฤทธิ์เป็นตัวกระตุ้นเซลล์ ผิวหนังให้สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น แสงแดดอาจไม่ใช่สาเหตุของฝ้าโดยตรง ผู้ที่ตากแดดจัดบางคนก็ไม่เกิดฝ้า แต่แสงแดดมีผล ทำให้ฝ้าเป็นมากขึ้น คือสีเข้มขึ้น
เป็นผลจากการใช้เครื่องสำอาง เครื่องสำอางบางชนิดมีสารที่ทำให้ผิวดำเมื่อถูกแสง ได้แก่สารโซลาเรน สารดังกล่าวพบอยู่ในน้ำหอมบางชนิด ในเครื่องสำอางสมุนไพร การรักษาฝ้าให้หายขาดจึงขึ้นอยู่กับชนิดและสาเหตุ ถ้าเป็นฝ้าชนิดพันธุกรรมและฮอร์โมนจะเป็นชนิดที่รักษายาก ถ้าเป็นชนิดเกิดจากฮอร์โมนในหญิงมีครรภ์ ยาคุม แสงแดด และเครื่องสำอาง อาจรักษาให้หายขาดได้
หลักการรักษาฝ้า
ในปัจจุบันนิยมใช้ตัวยาฟอกสีผิวร่วมกับสารป้องกันแสงแดด ยาฟอกสีผิวมีหลายชนิด เช่น ไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ กรดอาเซลิก กรดโคจิก บีเอชเอ เอเอชเอ สารเหล่านี้ทำให้ฝ้าจางลงแต่เมื่อใช้ไปนานๆ อาจมีฤทธิ์แทรกซ้อน มีหน้าแดงจัด ถ้ายิ่งโดนแดดจะกลับหน้าดำและเกิดจุดด่างขาวและมีสิวขึ้นสารบีเอชเอหรือเอเอชเอมีฤทธิ์ทำให้เซลล์ชั้นนอกของผิวหลุดลอกออก ทำให้สีผิวจางลง ได้ผลดีชั่วคราวเมื่อหยุดฤทธิ์ยาก็จะกลับสภาพเดิม ทำให้ต้องลอกบ่อยๆ ถ้าใช้ความเข้มข้นสูงทำให้ระคายเคืองมาก
สมัยหนึ่งมีผู้นิยมใช้สารคอร์ติโคสตีรอยด์ซึ่งทำให้ฝ้าจางลงได้ก็จริง แต่เมื่อใช้ไปสักพักจะมีฤทธิ์แทรกซ้อนทำให้เกิดเป็นสิว ผิวหน้าบางลงจนเห็นเส้นเลือดเป็นร่างแหอยู่ใต้ผิวและมีขนขึ้นบริเวณที่ทายา เนื่องจากฤทธิ์แทรกซ้อนดังกล่าว ยาตัวนี้จึงไม่ควรนำมาใช้บนใบหน้า การใช้สารป้องกันแดดเป็นการช่วยป้องกันฝ้าได้มาก
ผู้ที่เป็นฝ้าเล็กน้อยอาจใช้ยากันแดดอย่างเดียว ฝ้าจะจางลงได้ ขณะเดียวกันจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดมีฝ้าขึ้นมาใหม่ การใช้ยาลอกฝ้าที่มีฤทธิ์รุนแรงอาจทำให้ผิวเสียได้มาก ถ้ารักษาไม่หายอาจหันมา ใช้วิธีปกปิดรอยฝ้าด้วยเครื่องสำอาง ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาคุณภาพจนใช้ประโยชน์ได้ดีและไม่ทำลายผิวพรรณ
กลับ