24.8.53

ทายนิสัยจากเครื่องดื่ม



คุณชอบดื่มเครื่องดื่มอะไรมากที่สุดคะ ลองสังเกตตัวเองและคนใกล้ชิดดูแล้วทายนิสัยกันดูค่ะ

น้ำหวาน   คนที่ชอบดื่มน้ำหวานมักเป็นคนรักสงบ ชอบทำงานที่มีความมั่นคง มีความมานะพยายามสูง ไม่ชอบความวุ่นวาย ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง แต่ก็เป็นคนมองโลกในแง่ดี

น้ำอัดลม   แสดงว่าเป็นคนที่ชอบทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ชอบการบังคับและกฏเกณฑ์ ไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น แต่ก็สนใจธรรมะสนใจเรื่องแปลกใหม่และชอบการผจญภัย

น้ำผลไม้   มักเป็นคนที่มีความขยันขันแข็ง มีความสุขมากกับการทำงานชอบช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ ค่อนข้างเจ้าระเบียบและจู้จี้จุกจิกให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

กาแฟ   คนที่เป็นคอกาแฟมักเป็นคนที่มีความคาดหวังในชีวิตสูง และมีความใจเย็น ที่จะรอสิ่งที่หวัง ต้องการความมั่นคงทางการเงิน เป็นคนเจ้าระเบียบ จริงจัง และตรงไปตรงมา

น้ำชา   มักเป็นคนที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยนและชอบเอาอกเอาใจคนอื่น เข้ากับคนง่าย ปรับตัวเก่ง ไม่ชอบความขัดแย้ง มักลังเลในการตัดสินใจ เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์และยุติธรรม

ไวน์   เป็นคนที่มีกฏเกณฑ์ในชีวิต ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีมาก และยึดมั่นในความถูกต้อง รู้จักกาละเทศะ เข้าสังคมเก่ง แต่ค่อนข้างเป็นคนอนุรักษ์นิยม

เบียร์   เป็นคนมีชีวิตชีวา กล้าหาญ รักการผจญภัย แต่เป็นคนใจร้อนไม่ค่อยรอบคอบ เปลี่ยนใจง่าย แต่ก็เป็นตัวของตัวเอง มีความเป็นอิสระสูงและชอบการแสดงออก

ดื่มเหล้า   คนที่ชอบดื่มเหล้าทุกชนิด เช่น บรั่นดี วิสกี้ แม่โขง มักเป็นคนที่รักความสนุกสนาน ใจกว้าง แต่เป็นคนที่ไม่มีความรับผิดชอบ บุคลิกดูเข้มแข็ง แต่จิตใจอ่อนแอ


                                                         กลับ


         

การเก็บเงินบอกนิสัย



วิธีเก็บเงินสดไว้จ่ายอย่างไรบอกอุปนิสัยใจคอคนเราได้เช่นกัน ลองไปดูกันเลย

ซ่อนเร้น

          ถ้าคุณซ่อนเงินไว้ในเข็มขัด ในซอกลับของกระเป๋าเงิน หรือกระเป๋าถือแสดงว่าคุณเป็นคนระมัดระวังมาก พิถีพิถันพิจารณาตัดสินใจอะไรรอบคอบ ควบคุมตัวเองได้อย่างมีระเบียบวินัย เวลานัดกับใครไม่เคยล่าช้าหรือผิดเวลา


แยกกันเป็นระเบียบ

          ถ้าคุณจัดธนบัตรแยกตามค่าเงินเป็นระเบียบเรียบร้อยใส่กระเป๋าสตางค์ และแยกเหรียญไว้อีกทางหนึ่งเพื่อใช้จ่ายย่อย คุณเป็นคนที่มีเหตุมีผลรู้จักความพอดี ไม่มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาเท่าไหร่ ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่าเงินทอง


มัดเป็นปึก

          คุณชอบพกเงินสดมัดเป็นปึกใหญ่แล้วดึงออกมาใช้ทีละใบ แสดงว่าคุณเป็นคนที่มีจิตใจไม่เคยทุกข์ร้อนอะไร รักชีวิตและมีอารมณ์ขันมาก มีความกระตือรือร้นอย่างสูง และชอบผจญภัยใหม่ๆ แปลกๆ โดยไม่หวั่นกลัวแต่อย่างไร


ใช้คลิปเหน็บ

          ถ้าคุณใช้คลิปเปอร์หรือที่เหน็บธนบัตรไว้ เวลาใช้จ่ายก็ดึงออกมา บ่งบอกว่าคุณเป็นคนรักครอบครัวมาก ไม่ชอบการเปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงอะไรช้าๆ ชอบวิถีชีวิตเก่าตามขนบธรรมเนียมประเพณี


ทิ้งเกลื่อนกลาด

          หากคุณเก็บเงินสดธนบัตรไว้ไม่เป็นที่เป็นทาง ขึ้นอยู่กับเอาไว้หยิบฉวยจ่ายสะดวกเมื่อไร เช่นใส่ในกระเป๋าเงินหลายใบ ทิ้งไว้บนโต๊ะ บนเคาน์เตอร์ เป็นต้น สะท้อนบุคลิกของคุณออกมาว่าไม่ยึดถืออะไรเป็นกฎเกณฑ์ ชอบชีวิตง่ายๆ ไม่ค่อยอีนังขังขอบกับการใช้จ่ายเงิน บางทีทิ้งเงินไว้อย่างนี้จนลืมไปเมื่อจะใช้จ่ายถึงนึกขึ้นได้ จึงทำให้ต้องค้นหา จึงทำให้คุณเป็นคนเสาะแสวงหาอะไรได้รวดเร็ว และทำอะไรง่ายๆ ไม่จริงจังซีเรียสนัก


ชอบใส่เหรียญดังกุ๊งกิ๊ง

          ถ้าหากคุณชอบพกเหรียญมากๆไว้ในกระเป๋า แสดงว่าคุณเป็นคนมานะพยายามอดทนด้วยพลังงานสูง มักจะมีโครงการทำอะไรมากมาย ชอบชีวิตสนุกสนานหัวเราะรวนเป็นประจำ ไม่เคยมีจิตใจอิจฉาริษยาใคร และจิตใจบริสุทธิ์เหมือนกับเด็กๆ


ชอบโชว์

          ถ้าคุณชอบพกเงินสด มัดธนบัตรเป็นใหญ่แต่ชอบควักมาโชว์ให้คนเห็นเป็นประจำ แล้วมักเอาแบงก์ราคามากไว้บน บ่งบอกว่าคุณเป็นคนเปิดเผย ชอบแสดงความรู้สึก และไม่สนใจว่าจะเป็นจุดเด่นในสายตาคน มีทรรศนะทางการเมืองที่รุนแรง


                                                         กลับ


 

สตรีวัยทอง



          สตรีวัยหมดประจำเดือนหรือวัยหมดระดู คือสตรีในวัยที่มีการสิ้นสุดของการมีประจำเดือนอย่างถาวร เนื่องจากรังไข่หยุดทำงาน มีสาเหตุมากจากการที่จำนวนไข่ใบเล็กๆ ในรังไข่มีปริมาณลดลง ซึ่งมีผลทำให้การสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง จนหยุดการสร้างไปในที่สุด

          วัยทองเป็นระยะซึ่งสตรีส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านครอบครัว หน้าที่การงาน และฐานะความเป็นอยู่ โดยเฉลี่ยสตรีไทยเริ่มเข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดระดู โดยธรรมชาติเมื่ออายุประมาณ 50 ปี ในกรณีที่หมดระดูเมื่ออายุน้อยกว่า 40 ปี เรียกว่าหมดระดูก่อนเวลาอันควร ซึ่งจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ มากขึ้น เช่นเดียวกับสตรีที่หมดระดูจากการผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง อายุขัยเฉลี่ยของสตรีไทยประมาณ 71 ปี ดังนั้นช่วงเวลาที่สตรีต้องอยู่ในสภาวะวัยหมดระดูนั้น มีประมาณ 1 ใน 3 ของช่วงชีวิตทั้งหมดของสตรี ซึ่งเป็นระยะเวลานานกว่า 20 ปี

มีอาการอย่างไร

          เมื่อสตรีย่างเข้าสู่วัยทอง อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาของร่างกายและจิตใจ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเพศคือ เอสโตรเจน เช่น

รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ อาจห่างออกไปหรือสั้นเข้า อาจมีเลือดประจำเดือนน้อยลง หรือมากขึ้น

เกิดอาการซึมเศร้า, หงุดหงิด, กังวลใจ, ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง, ความจำเสื่อม, ความต้องการทางเพศ หรือการตอบสนองทางเพศลดลง

ช่องคลอดแห้ง, คันบริเวณปากช่องคลอด, มีการอักเสบของช่องคลอด, เจ็บเวลาร่วมเพศ, อาจมีการหย่อนยานของมดลูก และช่องคลอด, มีการหย่อนของกระเพาะปัสสาวะ, ปัสสาวะบ่อย, กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ขณะไอหรือจาม หรือขณะยกของหนัก

ผิวหนังแห้ง, เหี่ยวย่น, คัน, ช้ำและเป็นแผลได้ง่าย, ผมแห้ง, ผมร่วง

เต้านมมีขนาดเล็กลง, หย่อน, นุ่มกว่าเดิม

เกิดโรคของระบบหัวใจและหลอดเลือด พบว่าสตรีก่อนวัยหมดประจำเดือนอัตราส่วนของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันในชายจะสูงกว่าหญิงในอัตรา 9:3 แต่เมื่อสตรีเข้าสู่วัยหมดระดู จะเริ่มมีอัตราการเกิดโรคดังกล่าวเพิ่มขึ้น จนมีอัตราไกล้เคียงกับชายเมื่ออายุ 70 ปี ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรีวัยทอง ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

การขาดเอสโตรเจน โดยเฉพาะในระยะแรกของวัยหมดระดู อาจทำให้มีการสูยเสียเนื้อกระดูกได้ถึงร้อยละ 3-5 ต่อปี จนทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน และอาจมีการหักของกระดูกในส่วนต่างๆ ได้แก่ กระดูกข้อมมือ, กระดูกสันหลัง, กระดูกสะโพก เป็นต้น

การดูแลตัวเอง

          สตรีควรตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงในวัยนี้ ควรหาความรู้เพิ่มเติมพร้อมดูแลตนเองให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี โดยควรรับประทานอาหารที่เหมาะสมกับวัย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง โดยเฉพาะไขมันสัตว์ หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และบุหรี่ ควรได้รับแคลเซียมประมาณวันละ 1,000-1,500 มิลลิกรัม อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น กุ้งแห้ง, ปลาเล็กปลาน้อย, ผักใบเขียว รับประทานอาหารที่มีเอสโตรเจนธรรมชาติ เช่น ถั่วเหลือง, ข้าวโพด, ข้าวโอ๊ด, ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เล่ย์, มันฝรั่ง, มันเทศ, มะละกอ เป็นต้น

          การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรกระทำในสตรีวัยหมดระดู เพราะมีผลต่อการสร้างเนื้อกระดูก มีผลดีต่อการลดไขมัน และการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่า การออกกำลังกายสามารถลดอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ และภาวะซึมเศร้าในวัยหมดระดูได้

          ในรายที่มีอาการต่างๆ รุนแรง ได้รับความทุกข์ทรมานรบกวนความสุขในชีวิต หรือมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ และ หลอดเลือด, โรคกระดูกพรุน ควรพบแพทย์เพื่อพิจารณาการให้ฮอร์โมนทดแทน


                                                         กลับ


 

ชายวัยทอง



          ความเชื่อที่มีกันมานานว่าผู้ชายจะคงความเป็นชายหรือมีการสร้างฮอร์โมนเพศชายไปตลอดชีวิต ส่วนผู้หญิงนั้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วรังไข่จะหยุดการสร้างฮอร์โมนเพศหญิง ทำให้เกิดกลุ่มอาการต่างๆ ทั้งทางด้านร่างกายจิตใจ และอารมณ์

          แท้ที่จริงแล้วเมื่ออายุย่างเข้าวัย 40 ปีขึ้นไป การสร้างฮอร์โมนเพศชายจะลดลงอย่างสม่ำเสมอทุกปี เมื่อระดับของฮอร์โมนเพศชายลดลงถึงระดับหนึ่งจะเกิดภาวะพร่องฮอร์โมนเพศชายไปบางส่วน ทำให้เกิดอาการต่างๆคล้ายกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

          ภาวะการพร่องฮอร์โมนเพศชายดังกล่าวมักจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อผู้ชายย่างเข้าสู่วัยกลางคน และอาการต่างๆ จะแสดงออกเมื่อระดับฮอร์โมนเพศชายลดลงกว่าระดับปกติของร่างกายประมาณ 20 เปอร์เซนต์ การพร่องฮอร์โมนเพศชายไปบางส่วนนี้จึงมีชื่อเรียกว่า " พา - ดาม " ตรงกับคำในภาษาอังกฤษคือ PADAM ซึ่งย่อมาจากคำว่า PARTIAL ANDROGEN DEFICIENCY OF THE AGING MALE

          ผลการศึกษาวิจัยที่เชื่อถือได้มาจากการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตันประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าเมื่อผู้ชายอายุย่างเข้า 40 ปี การสร้างฮอร์โมนเพศชายจะลดลงปีละ 1 เปอร์เซนต์ และอาการต่างๆ อันเป็นผลมาจากการขาดฮอร์โมนเพศชายนั้นจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่เกิดขึ้นรวดเร็วและอาการมากเหมือนผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

อาการที่บ่งบอกถึง " ภาวะการพร่องฮอร์โมนเพศชาย "

อาการระยะแรก : เมื่อร่างกายเริ่มพร่องฮอร์โมนเพศชาย อวัยวะต่างๆ ที่มีส่วนสัมพันธ์กับฮอร์โมนเพศชายจะเริ่มเสื่อมลง ทำงานลดลงและเกิดอาการทางด้านจิตใจและอารมณ์ตามมา

อาการทางด้านร่างกาย : จะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัวโดยไม่มีสาเหตุ ไม่กระฉับกระเฉง กล้ามเนื้อต่างๆลดขนาดลง ไม่มีแรง และอวัยวะเพศเริ่มไม่แข็งตัวในช่วงตื่นตอนเช้า

อาการทางด้านสติปัญญาและอารมณ์ : เครียดและหงุดหงิดง่าย โกรธง่าย เฉื่อยชา ขาดสมาธิในการทำงาน ความจำลดลง โดยเฉพาะความจำระยะสั้น

อาการทางด้านระบบไหลเวียนโลหิต : บางคนอาจมีอาการ ร้อนวูบวาบหรือมีเหงื่อออกในตอนกลางคืน

อาการทางด้านจิตและเพศ : จะมีอาการนอนไม่หลับ ตื่นตกใจง่าย สมรรถภาพทางเพศและความต้องการทางเพศลดลงหรือไม่มีอารมณ์เพศ บางคนเกิดอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วย ปัจจุบันพบว่าชายไทยหลังอายุ 40 ปีไปแล้ว มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศเพิ่มขึ้น เพราะไม่มีอารมณ์เพศเนื่องจากฮอร์โมนเพศชายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอารมณ์เพศเมื่อระดับฮอร์โมนเพศชายลดลง จึงไม่เกิดอารมณ์ที่จะมีเพศสัมพันธ์ รวมทั้งอวัยวะเพศชายเมื่อขาดฮอร์โมนเพศชายไปกระตุ้นแล้วก็มักจะเสื่อมลงตามไปด้วย

ภัย...ที่รุกรานในระยะยาว

          ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ผลของการขาดฮอร์โมนเพศชายจะทำให้กระดูกบางลง เป็นโรคกระดูกพรุนได้ เช่นเดียวกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ทำให้เกิดกระดูกหักในผู้ชายสูงวัยได้ นอกจากนี้กล้ามเนื้อจะค่อยๆ ลดขนาดลง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย มีผลให้ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง

           สมรรถภาพทางเพศ มื่อร่างกายขาดฮอร์โมนเพศชายไปนานๆ เข้านอกจากอารมณ์เพศและการตอบสนองทางเพศลดลงแล้ว ความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์ ความถี่ในการถึงจุดสุดยอด รวมทั้งความพึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์ จะลดลงไปตามระดับของฮอร์โมนเพศชายที่ขาดหายไป รวมทั้งระยะเวลาที่ขาดหายไปด้วย

เตรียมกายเตรียมใจเข้าสู่วัยทอง

          การเตรียมตัวที่ดีย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง บางคนกล่าวว่าชีวิตเริ่มต้นเมื่อพ้นสี่สิบ ในวัยทองนี้จะต้องหมั่นรักษาสุขภาพกาย สุขภาพใจให้ได้ ใช้ชีวิตอย่างสุขุมรอบคอบ เดินสายกลาง ปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้เหมาะสม ทั้งการทำงาน การพักผ่อนสันทนาการ การออกกำลังกาย รวมทั้งการทำจิตใจให้สงบ ควบคุมอาหารการกินให้ได้สัดส่วนและเหมาะสมกับวัย และแน่นอนว่าถ้าระดับฮอร์โมนเพศชายที่ลดลงไปนั้น ทำให้คุณภาพชีวิตเลวลงแล้ว การไปขอคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ และรับฮอร์โมนเพศชายเสริมให้ได้ระดับปกติ อาจทำให้อาการต่างๆ อันไม่พึงประสงค์หมดไปและคุณภาพชีวิตดีขึ้น


                                                        กลับ


 

โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ



          โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในปัจจุบันหมายถึง โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในเพศชาย คือการที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือการแข็งตัวไม่สมบูรณ์ของอวัยวะเพศ คำเดิมที่ใช้คือการหมดสมรรถภาพทางเพศ

สาเหตุ

          มีหลายระดับ หากไม่นับโรคทางกายเช่น อัมพฤก อัมพาต โรคเกี่ยวกับระบบเส้นเลือด เบาหวาน ความดันโลหิตสูงหัวใจ โรคเหล่านี้ทำให้เกิดอาการเสื่อมได้ทั้งสิ้น เนื่องจากสุขภาพทางกายไม่แข็งแรง ในคนปกติทั่วไป หากมีโรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเกิดขึ้นมีปัจจัยทั้งด้านจิตใจและสิ่งแวดล้อมเข้ามา เกี่ยวข้องในการวิจัยที่ต่างประเทศ

          การเสื่อมในผู้ชายที่แข็งแรง อายุเฉลี่ย 40-60 ปี พบว่าการเสื่อมมีสูงถึงประมาณใกล้เคียง 50 % คือ 1 ใน 2 คนมีภาวะเสื่อม การเสื่อมมีหลายระดับเช่น เสื่อมเล็กน้อยหรือเสื่อมบางครั้งบางคราว เสื่อมปานกลางคือ เริ่มมีกิจกรรมทางเพศไม่ได้ และการเสื่อมสมบูรณ์แบบคือ ไม่สามารถมีกิจกรรมทางเพศได้อีกเลย เป็นที่น่าสังเกตว่าการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเริ่มแฝงตัวในคนปกติมากขึ้นเรื่อยๆ

วิธีรักษา

          แพทย์จะซักประวัติผู้ป่วยทั้งประวัติส่วนตัว ประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการผ่าตัด แพทย์จะตรวจร่างกายเพื่อดูระบบประสาท ระบบกล้ามเนื้อ ตรวจอวัยวะเพศเพื่อหาความผิดปกติ อะไรที่มีส่วนเกี่ยวข้องบางครั้ง มีการเจาะเลือด เอ็กซเรย์ เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับแพทย์ในการเลือก


                                                          กลับ


 

โรคต่อมลูกหมาก



          โรคของผู้ชายสูงอายุซึ่งจะเป็นกันมากก็คือ โรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก โรคที่เป็นมีตั้งแต่เบาๆ ขนาดต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากอักเสบ ไปจนกระทั่งถึงหนักที่สุดคือ มะเร็งต่อมลูกหมาก

          ผู้ชายอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปมีโอกาสเป็นต่อมลูกหมากอักเสบได้ และถ้าอายุ 50 ปีขึ้นไปก็มักจะเป็นต่อมลูกหมากโต และทั้งสองอย่างมีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ทั้งสิ้น

อาการขนาดเบาๆ

          คือ ปัสสาวะกะปริบกะปรอย คุณผู้ชายบางคนที่เคยภาคภูมิใจในความเป็นลูกผู้ชาย หรือความเป็นชายฉกรรจ์ของตน อาจจะรู้สึกเหมือนเทวดาตกสวรรค์ลงมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่ข้างถังขยะโดยไม่รู้ตัว เมื่ออยู่ๆก็พบว่ามีปัญหาเรื่องการขับถ่ายปัสสาวะ คือปัสสาวะได้ไม่สุด ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเคยเข้าห้องน้ำแล้วรู้สึกเบาเนื้อเบาตัว น้ำปัสสาวะออกโล่งโถงเบาในกระเพาะปัสสาวะแต่คราวนี้กลับออกได้ไม่หมด มิหนำซ้ำ ปัสสาวะยังไหลกระท่อนกระแท่นเหมือนมีถุงทรายใบเล็กๆ ห้อยอยู่ในกระเพาะปัสสาวะข้างล่าง พอเดินออกมานอกห้องน้ำก้มลงมองดูข้างล่างก็ใจหายวาบ เพราะกางเกงเปียกเป็นหย่อมๆ ขายหน้าสาวๆ อีกต่างหาก ตอนนี้ความเป็ขชายฉกรรจ์ชักจะหดหายไปหมด

          ต่อมาอาการกะปริบกะปรอยก็เริ่มจะมีมากขึ้น จนเกิดความรักโถส้วมมากขึ้น ปัสสาวะทีก็ต้องยืนกระบิดกระบวนอยู่หน้าโถส้วมเป็นนานสองนาน พอต่อๆ ไปอาการก็เริ่มจะแปรปรวน ตอนกลางคืนต้องเข้าห้องน้ำ 3-4 ครั้ง บางคนมากกว่านั้นเข้าเกือบทุกชั่วโมงเลยก็มี

          อาการอีกอย่างก็คือ เวลาปัสสาวะบางคนจะรู้สึกแสบๆ ปัสสาวะสีแก่จัดและขุ่นข้น ที่ร้ายไปกว่านั้น (หรืออาจจะร้ายที่สุดสำหรับผู้ที่รู้สึกว่าเป็นชายฉกรรจ์) คุณผู้ชายบางคนเตะปีบไม่ดังเอาดื้อๆ อาการซึ่งเริ่มจะไม่ดีจนถึงขั้นเป็นมะเร็งได้ก็คือ เริ่มมีไข้และรู้สึกหนาวเป็นบางครั้ง มีอาการปวดบริเวณสามเหลี่ยมระหว่างใต้ลูกอัณฑะกับทวารหนัก ปวดหลังปวดเอว บางครั้งฉี่ไม่ออกเลยหรือไม่ก็จะมีเลือดออกปนมากับน้ำปัสสาวะด้วย

          ทั้งหมดนี้เป็นอาการรวมๆ ตั้งแต่น้อยไปหามากและถึงแม้ว่าอาการต่อมลูกหมากโตจะไม่เกี่ยวกับการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่อาการจากน้อยไปหามากก็จะมีเหมือนๆกัน แม้ว่าอาการเจ็บป่วยของต่อมลูกหมากจะเป็นเพียงอาการเบาๆ แต่ก็เป็นการทรมาณทางกายมากพอดู ความทรมาณที่สาหัสสากรรจ์ที่สุดอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่มีใครมองเห็นแม้แต่แพทย์ผู้รักษาก็คือความทรมาณทางจิตใจของคุณผู้ชายซึ่งเป็นเทวดาตกสวรรค์นั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับต่อมฮอร์โมนด้วย คือการผลิตฮอร์โมนของร่างกายจะผิดปกติ บางตัวขาดบางตัวเกินและมีผลทำให้เกิดอาการหงุดหงิดหรือซึมเศร้าได้ และยิ่งถ้าอาการร้ายแรงถึงขั้นเป็นมะเร็งด้วยแล้ว ก็ยิ่งจะมีความเครียด และความซึมเศร้ามากขึ้น จนถึงขั้นอยากตายเลยก็ได้

          ฉะนั้นจะถือได้ว่าปัญหาซ่อนเร้นที่สำคัญนั้นก็คือปัญหาด้านจิตใจที่ผู้ป่วยจะรู้สึกคับแค้นใจและทุกข์ทรมาณมากกว่าการเจ็บป่วยทางกายหลายเท่านัก

สำหรับการรักษาทางการแพทย์ในปัจจุบัน

          จะต้องอาศัยการผ่าตัดเป็นส่วนใหญ่ โดยมีเทคนิคและเครื่องมือใหม่ๆ มาใช้อย่างมากมายซึ่งในที่นี้เราจะไม่ขอกล่าวถึงวิธีการรักษาของโรงพยาบาลหรือตามคลินิก แต่จะขอกล่าวถึงการรักษาด้วยวิธีผสมผสานและด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยป้องกันมิให้เป็นโรคที่แสนทรมาณโรคนี้ แผนการป้องกันที่ดีที่สุด ซึ่งพิสูจน์มาแล้วทั้งในแผนปัจจุบันและแผนผสมผสานก็คือ การใช้อาหาร อาหารที่ดีที่สุดสำหรับต่อมลูกหมากได้แก่ อาหารที่มีธาตุสังกะสี (Zinc) ซึ่งอาหารที่มีธาตุสังกะสีมากที่สุดก็คือ ฟักทองและเมล็ดฟักทอง นอกจากนั้นธาตุสังกะสียังมีอยู่ในอาหารอย่างอื่นอีกเช่น จมูกข้าว (ได้ทั้งจากข้าวสาลี ข้าวสาร และข้าวอื่นๆ) และมัสตาร์ดผง

          ในขณะเดียวกันก็ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ซึ่งจะไปช่วยส่งเสริมการทำงานของธาตุสังกะสี ในทางกลับกันธาตุสังกะสีจะช่วยสนับสนุนวิตามินและแร่ธาตุต่างๆนั้นด้วย เรียกว่าร่วมมือร่วมใจกันทำงานให้ประโยชน์แกร่างกายอย่างเต็มที่

วิตามินและแร่ธาตุต่างๆนั้นได้แก่

วิตามิน A อาหารซึ่งมีวิตามินเอ ได้แก่ ตับปลา แครอต ผักผลไม้ที่มีสีเหลือง เช่น ฟักทอง มะละกอสุก เป็นต้น

วิตามิน B คอมเพล็กซ์ มีอยู่ในอาหารพวกถั่ว รำข้าว ข้าวโอ้ต ผักสีเขียวต่างๆ ยีสต์แห้ง ปลา ไข่ แคนตาลูป กะหล่ำปลี โมลาส

วิตามิน C มีอยู่ในผลไม้และผักรสเปรี้ยว ผักใบเขียว ดอกกะหล่ำ มันฝรั่ง มันเทศ

วิตามิน E มีอยู่ในจมูกข้าว ถั่วเหลือง น้ำมันพืช บร็อคเคอรี่ ผักโขม ข้าวสาลี ข้าวซ้อมมือ ไข่

วิตามิน F และเลคซิทิน ( ไขมันจำเป็น Essential Fatty Acids ) มีอยู่ในเมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน และงา

แมกนีเซียม มีอยู่ในลูกมะเดื่อ มะนาว ส้มโอ ข้าวโพดเหลือง ถั่วอัลมอนด์ ถั่วต่างๆ ผักใบเขียวจัด แอ็ปเปิ้ล

เกสรผึ้ง (Bee Pollen) ในเกสรผึ้งมีแร่ธาตุและฮอร์โมนหลายชนิด ได้มีการทดลองในทางการแพทย์หลายครั้งพบว่าแร่ธาตุและฮอร์โมนในเกสรผึ้งมีประโยชน์ต่อต่อมลูกหมากโดยตรง

          เหล่านี้คืออาหารซึ่งจะช่วยให้ต่อมลูกหมากดีขึ้นและช่วยป้องกันการอักเสบของต่อมลูกหมากได้ แต่ในกรณีที่เกิดการอักเสบขึ้นแล้ว ทั้งอาหารและอาหารเสริมก็ยังช่วยได้และช่วยได้ดีขึ้นถ้าจะเพิ่มปริมาณ ( Dose ) ของวิตามิน-แร่ธาตุให้มากขึ้น โดยใช้วิตามิน-แร่ธาตุเหล่านี้ในลักษณะของเม็ดยาซึ่งสกัดมาแล้ว คือเพิ่มขึ้นตามปริมาณต่อไปนี้

วิตามินเอ 10,000-25,000 I.U. ต่อวัน

วิตามินบี1 , 6 , 12 อย่างละ 50 มก. ต่อวัน

เกสรผึ้ง 3-9 เม็ด ต่อวัน

วิตามินซี 3,000-5,000 มก. ต่อวัน

วิตามินอี 800 I.U. ต่อวัน

แมกนีเซียม 500 มก. ต่อวัน

Zinc 200 มก. ต่อวัน

          และควรจะงดเหล้า - บุหรี่ พร้องทั้งลองเปลี่ยนจากการนั่งเก้าอี้เบาะมาเป็นนั่งเก้าอี้แข็ง ถ้าจะให้ดี ควรเสริมท่าบริหารด้วยการ นอนหงาย งอเข่า เท้าทั้งสองชิดกัน แล้วแยกเข่าออกสองข้างช้าๆ ยกกลับคืนท่าเดิม ทำอย่างนี้เช้า-เย็น อย่างน้อยได้สัก 20 ครั้งจะดีมาก


                                                        กลับ


 

โรคเอดส์



          โรคเอดส์ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome มีชื่อโดยย่อว่า AIDS = เอดส์ โรคเอดส์คือ โรคที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องจนไม่สามารถต่อสู้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดโรคต่างๆ ที่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ง่ายกว่าคนปกติ ขณะนี้โรคเอดส์กำลังระบาดในทวีปอเมริกา ยุโรป อาฟริกา แคนนาดา โรคนี้ได้ติดต่อมาถึงบางประเทศในเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย

โรคเอดส์เกิดจากอะไร

          โรคเอดส์เกิดจากเชื้อไวรัส มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV)

โรคเอดส์เป็นกับใครบ้าง

          โรคเอดส์ส่วนใหญ่ที่พบในประเทศไทย มักเกิดในพวกรักร่วมเพศ ชายที่เปลี่ยนคู่บ่อยๆ ปัจจุบันพบว่าเกิดในพวกรักต่างเพศได้ โดยเฉพาะในเพศชายที่ชอบเที่ยวโสเภณี

โรคเอดส์ติดต่อกันได้อย่างไร

          โรคเอดส์ติดต่อกันได้หลายทาง แต่ที่สำคัญและพบบ่อย ได้แก่

การร่วมเพศกับผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือมีเชื้อโรคเอดส์

การรับถ่ายเลือดจากผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือมีเชื้อโรคเอดส์

การใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาด หรือร่วมกับผู้ป่วยโรคเอดส์

จากแม่ที่ตั้งครรภ์ป่วยเป็นโรคเอดส์ติดต่อไปถึงลูกที่อยู่ในครรภ์

          โรคเอดส์ไม่ติดต่อโดยการเล่นด้วยกัน รับประทานอาหารร่วมกัน เรียนร่วมกัน ไปเที่ยวด้วยกัน หรืออยู่ในครัวเรือนเดียวกัน หากไม่มีความเกี่ยวข้องทางเพศ

อาการของโรค

          หลังจากได้รับเชื้อโรคเอดส์เข้าไปในร่างกายแล้วจะมีระยะฟักตัวประมาณ 2-3 เดือน จึงตรวจพบเลือดบวกต่อโรคเอดส์ ผู้ที่ติดเชื้อไม่จำเป็นต้องมีอาการทุกคน ระยะฟักตัวก่อนมีอาการแตกต่างกันมากจาก 2-3 เดือน ถึง 5-6 ปี ประมาณกันว่า 25-30% ของผู้ที่ติดเชื้อจะแสดงอาการภายใน 5 ปี อีก 70% จะไม่มีอาการ แต่จะเป็นพาหะของโรคและแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้

อาการที่พบในผู้ป่วยโรคเอดส์

อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

มีไข้นานเป็นเดือนๆ

ต่อมน้ำเหลืองโต

ท้องเดินเรื้อรังจากโรคพยาธิ

มีแผลในปาก และตามผิวหนัง

มีอาการทางสมอง เช่น ชัก อัมพาต

โรคติดเชื้อต่าง ๆ โดยเฉพาะปอดบวมจากพยาธิ เชื้อรา วัณโรค ฯลฯ

มะเร็งของต่อมน้ำเหลือง เม็ดเลือด และสมอง ฯลฯ

การวินิจฉัย

          โรคเอดส์วินิจฉัยได้จากอาการข้างต้น ประกอบกับการตรวจเลือดบวกต่อโรคเอดส์ วิธีการตรวจเลือดมี 2 วิธี วิธีแรกเรียกว่า Elisa ถ้าพบว่าเลือดบวกจะตรวจยืนยันโดยวิธี Western Blot การตรวจเลือดนี้ไม่จำเป็นต้องทำในคนทั่วไปแต่ควรตรวจในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโรคนี้สูง ซึ่งได้แก่พวกรักร่วมเพศ ผู้หญิงและชายบริการ ผู้ที่ได้รับการถ่ายเลือดบ่อยๆ ผู้ติดยาทางเส้นเลือด

การรักษา

          ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ การรักษาจึงเป็นการรักษาโรคติดเชื้ออื่นๆ ที่แทรกซ้อนซึ่งไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะผู้ป่วยขาดภูมิต้านทาน และมักเสียชีวิตเนื่องจากโรคติดเชื้อ

การป้องกัน

ไม่สำส่อนทางเพศ ควรสวมถุงยางอนามัยเวลาร่วมเพศกับคนแปลกหน้า

พยายามอย่าเปลี่ยนคู่นอนในหมู่รักร่วมเพศ

อย่าร่วมเพศกับผู้ป่วยหรือสงสัยว่าเป็นโรคเอดส์

ก่อนรับการถ่ายเลือดควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้บริจาคเลือดไม่มีเชื้อโรคเอดส์

อย่าใช้เข็มฉีดยาที่ไม่สะอาดหรือร่วมกับผู้ติดยาเสพติด


                                                         กลับ


 

โรคมะเร็ง



          มะเร็ง คือกลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกายมีความผิดปกติ ที่ DNA หรือสารพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์รวดเร็วและมากกว่าปกติ ดังนั้น จึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ และในที่สุดก็จะทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงเพราะการเจริญเติบโตของหลอดเลือด ถ้าเซลล์พวกนี้เกิดอยู่ในอวัยวะใดก็จะเรียกชื่อ มะเร็ง ตามอวัยวะนั้นเช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็ง เม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งผิวหนัง เป็นต้น

โรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศชาย 10 อันดับแรก คือ

มะเร็งตับ

มะเร็งปอด

มะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็ง ช่องปาก

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

มะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็ง เม็ดเลือดขาว

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

มะเร็งหลังโพรงจมูก

มะเร็งหลอดอาหาร

โรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศหญิง 10 อันดับแรก

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งเต้านม

มะเร็งตับ

มะเร็งปอด

มะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งรังไข่

มะเร็งช่องปาก

มะเร็งต่อมธัยรอยด์

มะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งคอมดลูก

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทที่สำคัญ คือ

1. เกิดจากสิ่งแวดล้อมหรือภายนอกร่างกาย ซึ่งปัจจุบันนี้เชื่อกันว่ามะเร็งส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุได้แก่สารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหารและเครื่องดื่ม เช่น สารพิษจาก เชื้อรา ที่มีชื่อ อัลฟาทอกซิน (Alfatoxin) สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปิ้ง ย่าง พวกไฮโดคาร์บอน (Hydrocarbon) สารเคมีที่ใช้ในขบวนการถนอมอาหารชื่อไนโตรซามิน (Nitosamine) สีผสมอาหารที่มาจากสีย้อมผ้า รังสีเอ็กซเรย์ อุลตราไวโอเลตจากแสงแดดเชื้อไวรัส ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสฮิวแมนแพบพิลโลมา การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับจากพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่และดื่มสุรา เป็นต้น

2. เกิดจากความผิดปกติภายในร่างกาย ซึ่งมีเป็นส่วนน้อย เช่น เด็กที่มีความพิการมาแต่กำเนิดมีโอกาสเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นต้น การมีภูมิคุ้มกันที่บกพร่องและภาวะทุพโภชนาการ เช่น การขาดไวตามินบางชนิด เช่น ไวตามินเอ ซี เป็นต้น จะเห็นว่ามะเร็งส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้นมะเร็งก็น่าจะเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ เช่นเดียวกับโรคติดเชื้ออื่นๆ (Hill R.P,Tannock IF,1987) ถ้าประชาชนมีความรู้เกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง และสารช่วยหรือให้เกิดมะเร็งที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมแล้วพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเหล่านั้น เช่น งดสูบบุหรี่ หรือหลีกเลี่ยงจากบริเวณที่มีควันบุหรี่ เป็นต้น สำหรับสาเหตุภายในร่างกายนั้นการป้องกันคงไม่ได้ผลแต่ทำให้ทราบว่าตนเองจัดอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเป็น มะเร็งสูงหรือมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ดังนั้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับความรู้เรื่องมะเร็งต่อไป กรณีที่เป็นมะเร็งได้ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งจะมีการตอบสนองต่อการรักษาค่อนข้างดี

อาการ

1. ไม่มีอาการใดเลยในช่วงแรกขณะที่ร่างกายมีเซลล์มะเร็งเป็นจำนวนน้อย

2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตราย 8 ประการ ที่เป็นสัญญาณเตือนว่าควรไปพบแพทย์ เพื่อการตรวจค้นหาโรคมะเร็ง หรือสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้มีสัญญาณเหล่านี้เพื่อการรักษาและแก้ไขทางการแพทย์ที่ถูกต้องก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นมะเร็งระยะลุกลาม

3. มีอาการป่วยของโรคทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ร่างกาย ทรุดโทรม ไม่สดชื่น และไม่แจ่มใส

4. มีอาการที่บ่งบอกว่ามะเร็งอยู่ในระยะลุกลามหรือเป็นมาก ขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งชนิดใดและมีการกระจายของโรคอยู่ที่ส่วนใดของร่างกายที่สำคัญที่สุด ของอาการในกลุ่มนี้ได้แก่ อาการเจ็บปวด ที่แสนทุกข์ทรมาน

คำแนะนำ

1. รับประทานผักตระกูลกะหล่ำให้มาก เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า หัวผักกาด บรอคโคลี่ ฯลฯ

2.รับประทานอาหารที่มีกากมากเช่น ผัก ผลไม้ ข้าว ข้าวโพด และเมล็ดธัญพืชอื่นๆ

3.รับประทานอาหารที่มีเบต้า- แคโรทีน และ ไวตามินเอสูง เช่น ผัก ผลไม้สีเขียว-เหลือง

4. รับประทานอาหารที่มีไวตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ

5. ควบคุมน้ำหนักตัว

6.ไม่รับประทานอาหารที่มีราขึ้น

7. ลดอาหารไขมัน

8.ลดอาหารดองเค็ม อาหารปิ้ง-ย่าง รมควัน และอาหารที่ถนอมด้วยเกลือไนเตรท-ไนไตร์ท

9.ไม่รับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ เช่น ก้อยปลา ปลาจ่อม ฯลฯ

10.หยุดหรือลดการสูบบุหรี่

11.ลดการดื่มแอลกอฮอล์

12. อย่าตากแดดจัดมากเกินไปจะเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งผิวหนัง


                                                         กลับ


 

โรคหัวใจ



ชนิดและสาเหตุของโรคหัวใจ

          โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ความผิดปกตินี้อาจเกิดขึ้นกับทุกส่วนของหัวใจ เช่น หลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ ผนังกั้นห้องหัวใจ หรือ ตัวห้องหัวใจเอง มีสภาพไม่สมบูรณ์

          โรคลิ้นหัวใจ ลิ้นหัวใจพิการอาจเป็นแต่กำเนิดหรือมาเป็นภายหลังได้ ที่มาเป็นภายหลังส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อคออักเสบ และไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อต้านหัวใจตัวเอง เกิดการอักเสบของลิ้นหัวใจ และเกิดลิ้นหัวใจพิการ (ตีบ รั่ว) ตามมา นอกจากนั้นลิ้นหัวใจพิการยังอาจเกิดจากการติดเชื้อที่หัวใจโดยตรงหรือเกิดจากการเสื่อมของลิ้นหัวใจเอง โดยมากแล้วเราสามารถผ่าตัดแก้ไขได้

          โรคกล้ามเนื้อหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจทำงานผิดปกติไม่ว่าจะบีบหรือคลายตัว กล้ามเนื้อหัวใจหนากว่าปกติ เป็นต้น โรคที่พบบ่อยคือ กล้ามเนื้อหัวใจเสียเนื่องจากความดันโลหิตสูงที่ไม่ได้รับการรักษามานาน กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือกล้ามเนื้อหัวใจตาย บางส่วนเนื่องจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรือตัน เป็นต้น

          โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด เป็นโรคกลุ่มเดียวกัน เพราะหลอดเลือดหัวใจจะนำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เมื่อหลอดเลือดผิดปกติจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดการทำงานจึงผิดปกติ โรคของหลอดเลือดหัวใจอาจเกิดจากหลายสาเหตุแต่ที่พบบ่อยที่สุดเกิดจากการสะสมของไขมันที่ผนัง ทำให้หลอดเลือดหัวใจตีบและตันในที่สุด (ไม่ใช่มีก้อนไขมันในเลือดลอย ไปอุดตัน ตามที่เข้าใจกัน)

          โรคเยื่อหุ้มหัวใจ เป็นโรคที่พบไม่บ่อย ส่วนใหญ่เกิดการอักเสบจากการติดเชื้อไวรัสหรือ แบคทีเรีย หรือเชื้อวัณโรค โรคนี้ส่วนใหญ่รักษาได้ ยกเว้นกรณีที่มะเร็งแพร่กระจายมายังเยื่อหุ้มหัวใจ

          โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ กลุ่มนี้มีหลายชนิดมาก บางชนิดไม่เป็นอันตราย บางชนิดอันตรายมาก (ส่วนใหญ่ของกลุ่มที่ร้ายแรง มักมีความผิดปกติ ของกล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจด้วย) สาเหตุเกิดจากระบบไฟฟ้าในหัวใจทำงานผิดปกติไป เช่น มีจุดกำเนิดไฟฟ้าแปลกปลอมขึ้นหรือเกิดทางลัด (เรียกง่ายๆว่า ไฟช็อต) ในระบบ เป็นต้น

          การติดเชื้อที่หัวใจ พบได้บ่อยในผู้ป่วยภูมิต้านทานต่ำหรือ ติดยาเสพติดชนิดฉีด โดยมากเกิดการติดเชื้อที่ลิ้นหัวใจ ซึ่งจะเป็นปัญหาในการรักษาอย่างมาก โรคหัวใจในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV ก็เป็นอีกกลุ่มที่มีลักษณะของโรคหลากหลายมาก

อาการ

เจ็บหน้าอก

1. เจ็บแน่นๆ อึดอัดบริเวณกลางหน้าอก อาจจะเป็นด้านซ้ายหรือทั้งสองด้าน (มักจะไม่เป็นด้านขวาด้านเดียว) บางรายจะร้าวไปที่แขนซ้ายหรือทั้งสองข้าง หรือจุกแน่นที่คอ บางรายเจ็บบริเวณกรามคล้ายเจ็บฟัน เกิดขึ้นขณะออกกำลัง เช่น เดินเร็วๆ รีบ หรือขึ้นบันได วิ่ง โกรธโมโห อาการดังกล่าวจะดีขึ้นเมื่อหยุดออกกำลัง

2. เจ็บแหลมๆ คล้ายเข็มแทง เจ็บแปล๊บๆ เจ็บจุดเดียว กดเจ็บบริเวณหน้าอก

อาการหอบ เหนื่อยง่าย เวลาออกแรง

ใจสั่น หมายถึง การที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ผิดจังหวะ หรือ เต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆ หยุดๆ

ขาบวม เกิดจากการที่หัวใจด้านขวาทำงานลดลง เลือดจากขาไม่สามารถไหลเทเข้าหัวใจด้านขวาได้โดยสะดวกจึงมีเลือดค้างอยู่ที่ขามากขึ้น
เป็นลม วูบ หมายถึง การหมดสติหรือเกือบหมดสติชั่วขณะ โดยอาจรู้สึกหน้ามืดจะเป็นลม ตาลาย มองไม่เห็นภาพชัดเจน โดยอาการเป็นอยู่ชั่วขณะ

คำแนะนำ

1. หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง

2. หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็ม

3. เน้นอาหารที่มีเส้นใย (fiber)

4. เลิกบุหรี่

5. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

6. ควบคุมเบาหวานและความดันโลหิตสูง

7. ทำจิตใจให้ผ่องใส


                                                         กลับ


 

โรคตับอักเสบ



          อาจเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่างเช่นจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรียเชื้อราโปรโตซัว หรือหนอนพยาธิ นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการได้รับยาหรือสารพิษบางอย่างด้วย แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ การติดเชื้อไวรัส มีไวรัสหลายชนิดทำให้เกิดโรคตับอักเสบได้ โรคตับอักเสบมี 2 ชนิด

โรคตับอักเสบเฉียบพลัน [acute hepatitis]

          หมายถึงโรคตับอักเสบที่เป็นไม่นานก็หาย ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการ 2-3 สัปดาห์โดยมากไม่เกิน 2 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่หายขาดจะมีบางส่วนเป็นตับอักเสบเรื้อรัง และบางรายรุนแรงถึงกับเสียชีวิต

โรคตับอักเสบเรื้อรัง [chronic hepatitis]

          หมายถึงตับอักเสบที่เป็นนานกว่า 6 เดือนจะแบ่งเป็น 2 ชนิด

chronic persistent เป็นการอักเสบของตับแบบค่อยๆเป็นและไม่รุนแรงแต่อย่างไรก็ตามโรคสามารถที่จะทำให้ตับมีการอักเสบมาก

chronic active hepatitis มีการอักเสบของตับ และตับถูกทำลายมากและเกิดตับแข็ง

อาการ

          ตับอักเสบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการที่พบได้บ่อย คือ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ปวดข้อ คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร อาจจะพบผื่นตามตัว หรืออาการท้องเสีย บางรายปัสสาวะสีเข้ม ตัวเหลืองตาเหลือง ซึ่งอาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไป 1-4 สัปดาห์ แต่บางรายอาจนาน 2-3 เดือน ส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติ โรคไวรัสตับอักเสบบี พบว่าร้อยละ 5-10 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนไวรัสตับอักเสบซี ร้อยละ 85 เป็นตับอักเสบเรื้อรัง ตับอักเสบเรื้อรังผู้ป่วยมักไม่มีอาการแต่จะมีการทำลายเซลล์ตับไปเรื่อยๆจนเกิดตับแข็ง และเป็นมะเร็งตับในที่สุด

คำแนะนำ

1. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ โดยเฉพาะในเด็ก

2. ควรแยกอุปกรณ์เครื่องใช้กับผู้ที่ติดเชื้อ เช่น แก้วน้ำ จาน ช้อนซ่อม เป็นต้น

3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหมในช่วงที่มีการอักเสบของตับ แต่การออกกำลังอย่างสม่ำเสมอในตับอักเสบเรื้อรังสามารถทำได้

4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างพอเพียง ไม่ต้องดื่มน้ำหวานมากๆ เพราะทำให้ไขมันสะสมที่ตับเพิ่มขึ้น


                                                          กลับ


 

ของสะสมบอกนิสัย

สะสมตุ๊กตา

          คนพวกนี้เป็นคนมีจิตใจเมตตา มองโลกในแง่ดีเอามากๆ รักคนเค้าไปทั่ว เกลียดใครไม่เป็น ก็เพราะความรักมันแสนจะท่วมท้นอยู่ในหัวใจของเค้านี่นา ฉะนั้นอย่าไปทำท่าหมั่นไส้เขาเลย หากเขาเป็นดั่งคนที่ไม่เคยรู้จักความทุกข์นะ



สะสมของกระจุกกระจิก

          คนพวกนี้มักจะเป็นคนที่มีท่าทางอ่อนแอและมีอารมณ์อ่อนไหวง่าย ทั้งที่ลึกๆในจิตใจแล้วจะเป็นคนที่มีความแน่วแน่ในการทำสิ่งต่างๆ ที่ตัวเองต้องการอย่างที่ไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงความตั้งใจได้เขาเป็นคนที่เอาจริงเอาจังแล้วก็ยังชอบเป็นกำลังใจ



สะสมหนังสือ นิตยสาร

          คนพวกนี้มีความกระตือรือร้นดีมากๆ เลยแล้วก็เป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น มีความเป็นส่วนตัวสูงชอบที่จะอ่านหนังสือหรือไม่ก็เปิดเพลงเพราะๆ ฟังอยู่คนเดียวหรืออาจจะอยู่กับใครสักคนที่รู้ใจ พวกนี้จะมีวาทะดีเยี่ยมยอดมากใครได้ฟังรับรองเคลิ้มตามแน่ๆ และหากเจอใครที่ถูกอกถูกใจล่ะก็ คนที่ปกติจะเป็นคนเงียบๆ ขรึมๆ ก็จะคุยจ้อขึ้นมาเลยทีเดียวแบบไม่น่าเชื่อ



สะสมเสื้อผ้า

          คนพวกนี้ เป็นคนมีลักษณะร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอเป็นพวกไม่รู้จักความทุกข์ร้อนใดๆ เลยก็ได้ คือ ออกจะรักสนุกมาก จนบางทีการงานก็ไม่ค่อยอยากทำ นอกจากเดินลอยชายไปเรื่อยๆ ในสถานที่ๆ มีผู้คนเยอะๆ เช่น ตามศูนย์การค้าต่างๆ คือ เป็นพวกที่ชอบงานสังคม เขาเป็นคนที่ชอบคิดว่าตนเองเป็นจุดศูนย์กลาง ตัวเองคิดยังไงก็คิดว่าคนอื่นเขาก็คิดเช่นนั้นด้วย บางทีจึงดูเหมือน คนที่ชอบเอาแต่ใจตนเองเป็นหลัก จนเหมือนไม่ค่อยจะถนอมน้ำใจคนอื่นเขาบ้างเลย ข้อดีก็คือเป็นคนที่ชอบเอาอกเอาใจคนซึ่งก็คล้ายจะทำไปเพื่อให้คนเขาสนในตนเองอีกนั่นแหละ



สะสมรูปถ่าย โปสการ์ด จดหมาย

          คนพวกนี้นะเป็นคนขี้เหงาชอบคิดถึงวันเก่าๆ ที่งดงามหรือถ้าจากบ้านเกิดไปอยู่ที่ไหนเขาก็จะเอาแต่คิดถึงบ้านคิดถึงพี่น้องพ่อแม่เพื่อนเก่าๆ เป็นคนที่ไม่ทอดทิ้งเพื่อนเก่าพี่น้องเพราะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับเขามากนิสัยอื่นๆคือจะอ่อนโยน ชอบจดจำสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือเลวก็ตามเพราะมันคือประสบการณ์อันยอดเยี่ยมสำหรับคนอย่างเขา



สะสมแสตมป์ หรือเหรียญต่าง ๆ

          คนพวกนี้เป็นพวกที่มีนิสัยกล้าได้กล้าเสียเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน เป็นอย่างมาก อยากได้อะไรก็จะต้องพยายามขวนขวายเอามาเป็นของตนให้ได้ นั่นเพราะความเป็นคนเอาจริงเอาจัง ชอบทำงาน นิสัยอื่นๆ ก็มีคือจะเป็นพวกอนุรักษ์นิยมจะไม่ยอมทำตามการใดๆ ที่มันผิดแบบผิดแผนเลยเป็นอันขาดในชีวิตนี้



สะสมเปลือกหอย หิน หรือของจากธรรมชาติ

          เป็นคนที่กล้าหาญและมีความอดทนจะมีความสุขมากกับการได้ตะลอนไปนั่นมานี่เพราะเขามีความคิดอยู่ในสมองว่าโลกใบนี้คือโรงเรียนที่เขาสามารถเรียนรู้ทุกๆ อย่างได้ไงล่ะ จึงเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบมากเพราะประสบการณ์คือสิ่งที่เขาแสวงหา ถ้าได้รู้จักคนที่ไม่ชอบอยู่เป็นที่เป็นทางนักไม่ต้องแปลกใจนะถ้าเขาเอาของที่เขาสะสมมาอวดแล้วเป็นของจากธรรมชาติ






                                                           กลับ


 

โรคไต



          หมายถึงโรคอะไรก็ได้ที่มีความผิดปกติหรือที่เรียกว่าพยาธิสภาพ เกิดที่บริเวณไต ที่พบมากได้แก่

โรคไตวายฉับพลันจากเหตุต่างๆ

โรคไตวายเรื้อรังเกิดตามหลังโรคเบาหวาน โรคไตอักเสบ หรือโรคความดันโลหิตสูง

โรคไตอักเสบเนโฟรติก

โรคไตอักเสบจากภาวะภูมิคุ้มกันสับสน (โรคเอส.แอล.อี.)

โรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic Kidney Disease)

อาการ

          ปัสสาวะเป็นเลือด ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นโรคไต แต่ก็อาจจะไม่ใช่ก็ได้ โดยจะปัสสาวะเป็นเลือดอาจเป็นเลือดสดๆ เลือดเป็นลิ่มๆ ปัสสาวะเป็นสีแดง สีน้ำ ล้างเนื้อ สีชาแก่ๆ หรือปัสสาวะเป็นสีเหลืองเข้มก็ได้

          ปัสสาวะเป็นฟองมากเพราะมีalbumin หรือโปรตีนออกมามาก จะทำให้ปัสสาวะมีฟองขาวๆ เหมือนฟองสบู่ การมีปัสสาวะเป็นเลือดพร้อมกับมีไข่ขาว-โปรตีนออกมาในปัสสาวะพร้อมๆกัน เป็นข้อสัญนิฐานที่มีน้ำหนักมากว่าจะเป็นโรคไต

          ปัสสาวะขุ่น อาจเกิดจากมี เม็ดเลือดแดง (ปัสสาวะเป็นเลือด) เม็ดเลือดขาว(มีการอักเสบ) มีเชื้อแบคทีเรีย (แสดงว่ามีการติดเชื้อ) หรืออาจเกิดจากสิ่งที่ ร่างกายขับออกจากไต แต่ละลายได้ไม่ดี เช่นพวกผลึกคริสตัลต่างๆ เป็นต้น

          การผิดปกติของการถ่ายปัสสาวะ เช่นการถ่ายปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบ ปัสสาวะราด เบ่งปัสสาวะ อาการเหล่านี้ล้วนเป็นอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะ เช่นกระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากและท่อทางเดินปัสสาวะ

          การปวดท้องอย่างรุนแรง (colicky pain) ร่วมกับการมีปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่นหรือมีกรวดทราย แสดงว่าเป็นนิ่วในไตและทางเดินปัสสาวะ

          การมีก้อนบริเวณไตหรือบริเวณบั้นเอวทั้ง 2 ข้าง อาจเป็นโรคไตเป็นถุงน้ำการอุดตันของไตหรือเนื้องอกของไต

          การปวดหลัง ในกรณีที่เป็นกรวยไตอักเสบจะมีอาการไข้หนาวสั่นและปวดหลังบิเวณไตคือบริเวณสันหลังใต้ซี่โครงซีกสุดท้าย

          อาการบวม โดยเฉพาะการบวมที่บริเวณหนังตาในตอนเช้าหรือหน้าบวม ซึ่งถ้าเป็นมากจะมีอาการบวมทั่วตัว อาจเกิดได้ในโรคไตหลายชนิด แต่ที่พบได้บ่อยโรคไตอักเสบชนิดเนฟโฟรติคซินโดรม (Nephrotic Syndrome)

          ความดันโลหิตสูง เนื่องจากไตสร้างสารควบคุมความดันโลหิต ประกอบกับไตมีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย เพราะฉะนั้นความดันโลหิตสูงอาจเป็นจากโรคไตโดยตรง หรือในระยะไตวายมากๆความดันโลหิตก็จะสูงได้
ซีดหรือโลหิตจาง เช่นเดียวกับความดันโลหิตสูง สาเหตุของโลหิตจางมีได้หลายชนิด แต่สาเหตุที่เกี่ยวกับโรคไตก็คือ โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic renal failure) เนื่องจากปกติไตจะสร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) เพื่อไป กระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อเกิดไตวายเรื้อรังไตจะไม่สามารถ สร้างสารอีริโธรโปอีติน (Erythopoietin) ไปกระตุ้นไขกระดูกทำให้ซีดหรือ โลหิตจาง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามือ เป็นลมบ่อยๆ

          อย่างไรก็ตามควรต้องไปพบแพทย์ ทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด เอ็กซ์เรย์ จึงจะพอบอกได้แน่นอนขึ้นว่าเป็นโรคไตหรือไม่

สาเหตุ

เป็นมาแต่กำเนิด (Congenital) เช่นมีไตข้างเดียวหรือไตมีขนาดไม่เท่ากัน โรคไตเป็นถุงน้ำ (Polycystic kidney disease) ซึ่งเป็นกรรมพันธุ์ด้วย เป็นต้น

เกิดจากการอักเสบ (Inflammation) เช่นโรคของกลุ่มเลือดฝอยของไตอักเสบ (glomerulonephritis)

เกิดจากการติดเชื้อ (Infection) เกิดจากเชื้อแบคที่เรียเป็นส่วนใหญ่ เช่นกรวยไตอักเสบ ไตเป็นหนอง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ (จากเชื้อ โรค) เป็นต้น

เกิดจากการอุดตัน (Obstruction) เช่นจากนิ่ว ต่อมลูกหมากโต มะเร็งมดลูกไปกดท่อไต เป็นต้น

เนื้องอกของไต ซึ่งมีได้หลายชนิด

คำแนะนำ

1. กินอาหารโปรตีนต่ำ หรืออาหารโปรตีนต่ำมากร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็น โดยกินอาหารที่มีโปรตีนคุณภาพสูง ซึ่งหมายถึงโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ทุกชนิดจำนวน 0.6 กรัม ของโปรตีน / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน โดยไม่ต้องให้กรดอะมิโนจำเป็นหรือกรดคีโต (Keto Acid) เสริม เพราะอาหารโปรตีนในขนาดดังกล่าวข้างต้นให้กรดอมิโนจำเป็นในปริมาณที่พอเพียงกับความต้องการของร่างกายอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยซึ่งมีน้ำหนักตัวเฉลี่ย ประมาณ 50-60 กิโลกรัม ควรกินอาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูงประมาณ 30-60 กรัม / วัน อาจจำกัดอาหารโปรตีนเพื่อชะลอการเสื่อมหน้าที่ของไตได้อีกวิธีหนึ่งโดยให้ผุ้ป่วยกินอาหารโปรตีนต่ำมาก (0.4 กรัม / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน) ร่วมกับกรดอะมิโนจำเป็นหรืออนุพันธ์คีโต (Keto Analog) ของกรดอะมิโนจำเป็น ในกรณีผู้ป่วยมีน้ำหนักเฉลี่ยน 50-60 กิโลกรัม ควรกินโปรตีนประมาณ 20-25 กรัม / วัน เสริมด้วยกรดอะมิโนจำเป็น หรืออนุพันธ์ครีโตของกรดอะมิโนจำเป็น 10-12 กรัม / วัน

2. กินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำ โดยผุ้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังควรควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลในอาหารแต่ละวันไม่ให้เกิน 300 มิลลิกรัม / วัน ด้วยการจำกัดอาหารที่มีโคเลสเตอรอลมาก เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ทุกชนิด และนม เป็นต้น

3. งดกินอาหารที่มีฟอสเฟตสูง ฟอสเฟตมักพบในอาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม และเมล็ดพืชต่างๆ เช่น ถั่วลิสง เม็ดทานตะวัน เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดอัลมอนด์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารดังกล่าว พบว่าอาหารที่มีฟอสเฟตสูงจะเร่งการเสื่อมของโรคไตวายเรื้อรังให้รุนแรงมากขึ้น และมีความรุนแรงของการมีโปรตีนรั่วทางปัสสาวะมากขึ้น นอกเหนือจากผลเสียต่อระบบกระดูกดังกล่าวข้างต้น

4. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่ไม่มีอาการบวม การกินเกลือในปริมาณไม่มากนัก โดยไม่ต้องถึงกับงดเกลือโดยสิ้นเชิง แต่ไม่ควรกินเกลือเพื่อการปรุงรสเพิ่ม ผู้ป่วยที่มีอาการบวกร่วมด้วยควรจำกัดปริมาณเกลือที่กินต่อวันให้น้อยกว่า 3 กรัมของน้ำหนักเกลือแกง(เกลือโซเดียมคลอไรด์) ต่อวัน ซึ่งทำได้โดยกินอาหารที่มีรสชาดจืด งดอาหารที่มีปริมาณเกลือมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ทำเค็ม หรือหวานเค็ม เช่น เนื้อเค็ม ปลาแห้ง กุ้งแห้ง รวมถึงหมูแฮม หมูเบคอน ไส้กรอก ปลาริวกิว หมูสวรรค์ หมูหยอง หมูแผ่น ปลาส้ม ปลาเจ่า เต้าเจี้ยว งดอาหารบรรจุกระป๋อง เช่น ปลากระป๋อง เนื้อกระป๋อง

5. ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังที่มีน้ำหนักเกินน้ำหนักจริงที่ควรเป็น(Ideal Weight for Height) ในคนปกติ ควรจำกัดปริมาณแคลอรีให้พอเพียงในแต่ละวันเท่านั้น คือ ประมาณ 30-35 กิโลแคลอรี / น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม / วัน



                                                        กลับ


 

โรคความดันโลหิตสูง



          โรคความดันโลหิตสูงหรือโรคแรงดันเลือดสูง ภาษาอังกฤษเรียก Hypertension ภาษาชาวบ้านเรียกง่ายๆว่า “โรคความดัน” ซึ่งเป็นโรคที่รู้จักกันมากโรคหนึ่ง แต่เชื่อไหมครับ จากการศึกษาพบว่าชาวอเมริกันร้อยละ 68.4 เท่านั้นที่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูง และมีเพียงร้อยละ 53.6 ที่รับการรักษา และในกลุ่มนี้มีเพียงร้อยละ 27.4 ที่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดี นั่นเป็นสถิติต่างประเทศ สำหรับบ้านเรายังล้าหลังเรื่องข้อมูลพวกนี้อยู่มาก ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้คงช่วยให้ผู้อ่านมีความเข้าใจ และเห็นความสำคัญของการรักษาความดันโลหิตสูงมากขึ้น

ความดันโลหิตคืออะไร

          ลองนึกภาพสายยางรดน้ำต้นไม้ มีน้ำไหลเป็นจังหวะการปิดเปิดของก๊อก เมื่อเปิดน้ำเต็มที่น้ำไหลผ่านสายยางย่อมทำให้เกิดแรงดันน้ำขึ้นในสายยางนั้น และเมื่อปิดหรือหรี่ก๊อกน้ำไหลน้อยลง แรงดันในสายยางก็ลดลงด้วย ระบบหัวใจและหลอดเลือดก็เป็นระบบไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย โดยมีหัวใจ ทำหน้าที่คล้ายก๊อกหรือปั๊มน้ำคอยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย เลือดไหลแรงดีความดันก็ดี หากหัวใจบีบตัวไม่ดี เลือดไหลอ่อนความดันก็ลดลง นอกจากนั้นแล้วความดันในหลอดเลือดยังขึ้นกับสภาพของ หลอดเลือดด้วย หากหลอดเลือดมีความยืดหยุ่นดีจะปรับความดันได้ดีไม่ให้สูงเกินไป แต่หากหลอดเลือดเสียความยืดหยุ่นหรือแข็งตัว ก็จะทำให้ความดันเปลี่ยนแปลงไปด้วย

          ค่าความดันโลหิตจะมีสองค่าเสมอเรียกว่า “ตัวบน” และ “ตัวล่าง” ค่าแรกเป็นความดันโลหิตในหลอดเลือดที่เกิดขึ้นขณะที่หัวใจบีบตัวไล่เลือดออกจากหัวใจ ส่วนตัวล่างคือความดันของเลือดที่ยังค้างอยู่ในหลอดเลือดขณะที่หัวใจคลายตัว ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรจำค่าทั้งสองไว้เพราะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ความดันโลหิตเท่าไรเรียกว่าปกติ

          ปัจจุบันความดันโลหิตที่เรียกว่า “เหมาะสม” ในผู้ที่อายุมากกว่า 18 ปี คือ ตัวบนไม่เกิน 120 มม.ปรอทและตัวล่างไม่เกิน 80 มม.ปรอท เรียกสั้นๆว่า 120/80 ความดันโลหิตที่ “อยู่ในเกณฑ์ปกติ” คือ ต่ำกว่า 130/85 มม.ปรอท ความดันโลหิตสูงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ คือ 130-139/85-89 มม.ปรอท จะเรียกได้ว่ามีความดันโลหิตสูงเมื่อความดันโลหิตตัวบนมากกว่า (หรือเท่ากับ) 140 และตัวล่างมากกว่า (หรือเท่ากับ) 90 มม.ปรอท อย่างไรก็ตามก่อนที่จะเรียกว่าผู้ป่วยมีความดันโลหิตสูงได้นั้น แพทย์จะต้องวัดซ้ำหลายๆครั้ง หลังจากให้ผู้ป่วยพักแล้ววัดซ้ำจนกว่าจะแน่ใจว่าสูงจริง และที่สำคัญเทคนิคการวัดต้องถูกต้องด้วย

การวัดความดันโลหิตที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

          เครื่องมือที่ใช้วัดความดันโลหิตที่เป็นมาตราฐานคือผ้าที่มีถุงลมพันที่แขนและใช้ปรอท ในขณะวัดความดันโลหิตผู้ถูกวัดความดันโลหิตควรจะอยู่ ในท่านั่งสบายๆ วัดหลังจากนั่งพักแล้ว 5 นาที ไม่วัดหลังจากดื่มกาแฟหรือสูบบุหรี่ ขนาดของผ้าพันแขนก็ต้องเหมาะสมกับแขนผู้ถูกวัดด้วย หากอ้วนมากแล้วใช้ผ้าพันแขนขนาดปกติค่าที่ได้จะสูงกว่าความเป็นจริง การปล่อยลมออกจากที่พันแขนก็มีความสำคัญอย่างมากและเป็นที่ละเลยกันมากที่สุด คือจะต้องปล่อยลมออกช้าๆ ไม่ใช่ปล่อยพรวดพราดดังที่เห็นหลายๆแห่งทำอยู่ การทำเช่นนั้นทำให้ได้ค่าที่ผิดไปจากความเป็นจริงมาก เครื่องวัดความดันก็ต้องได้มาตราฐานไม่ใช้เครื่องเก่ามากหรือมีลมรั่วเป็นต้น ตำแหน่งของเครื่องวัดก็ควรอยู่ระดับเดียวกับหัวใจ และต้องวัดซ้ำๆ เพื่อหาค่าเฉลี่ย

          ปัจจุบันมีเครื่องมือที่ออกแบบมาให้วัดความดันโลหิตได้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยผู้วัดไม่จำเป็นต้องมีความรู้เลย เพียงแค่ใส่ถ่านพันแขนและกดปุ่ม เครื่องจะวัดให้เสร็จ อ่านค่าเป็นตัวเลข เครื่องแบบนี้มีขายตามศูนย์การค้าทั่วไป โดยทั่วไปแล้วใช้งานได้ดี (แบบพันแขน) แต่ก็ต้องนำเครื่องมาตรวจสอบความถูกต้องเป็นครั้งคราว ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรมีเครื่องชนิดนี้ไว้วัดที่บ้านด้วย ในอนาคตเครื่องวัดความดันโลหิตแบบปรอทอาจจะเลิกใช้ ส่วนหนึ่งเนื่องจากผลทางสิ่งแวดล้อม(ปรอทเป็นสารอันตราย) และอีกเหตุผลหนึ่งคือใช้เทคนิคมากในการวัดให้ถูกต้อง

ข้อที่ควรทราบบางประการเกี่ยวกับความดันโลหิต

          ประการแรกคือความดันโลหิตเป็นค่าไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาทุกวินาที จึงไม่แปลกที่วัดซ้ำในเวลาที่ใกล้เคียงกันแล้วได้คนละค่า แต่ก็ไม่ควรจะแตกต่างกันนัก ความดันโลหิตยังขึ้นกับท่าของผู้ถูกวัดด้วย ท่านอนความดันโลหิตมักจะสูงกว่าท่ายืน นอกจากนั้นแล้วยังขึ้นกับสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น อาหาร บุหรี่ อากาศ กิจกรรมที่ทำอยู่ รวมทั้งจิตใจด้วย

          ประการต่อมาคือภาวะความดันโลหิตสูงปลอม หมายความว่าจริงๆแล้วผู้ป่วยไม่ได้มีความดันโลหิตสูง แต่ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบเมื่อมาวัดความดันโลหิต ที่คลินิกแพทย์หรือโรงพยาบาล จะวัดได้สูงกว่าปกติทุกครั้ง แต่เมื่อวัดโดยเครื่องวัดความดันโลหิต 24 ชั่วโมงหรือวัดด้วยเครื่องอิเลคโทรนิคเองที่บ้านกลับพบว่าความดันปกติ เรียกภาวะเช่นนี้ว่า White coat hypertension หรือ Isolated clinic hypertension กลุ่มนี้มีอันตรายน้อยกว่าความดันโลหิตสูงจริงๆ

ความดันโลหิตสูงเกิดจากอะไรและมีอาการอย่างไร

          จนถึงปัจจุบันนี้ความดันโลหิตสูงก็ยังเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุเป็นส่วนใหญ่ มีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้องทั้งพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมเช่น อาหารรสเค็ม เชื้อชาติ ส่วนน้อยเกิด(น้อยกว่าร้อยละ 5) จากความผิดปกติของหลอดเลือด ไตวายหรือเนื้องอกบางชนิด ความดันโลหิตสูงได้ชื่อว่าเป็นฆาตกรเงียบ เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ ไม่ทราบว่าตัวเองมีความดันโลหิตสูงหรือแม้จะทราบแต่ละเลยไม่สนใจรักษาเพราะรู้สึกปกติ สบายดี ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่างๆตามมาภายหลัง ผู้ป่วยส่วนน้อยที่มีอาการปวดศีรษะ มึนศีรษะ

ข้อควรทราบเกี่ยวกับการรักษาความดันโลหิตสูง

          ความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่ไม่ทราบสาเหตุ การรับประทานยาเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาตลอดไป หากหยุดยา ความดันโลหิตอาจกลับมาสูงอีกได้

          เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่มีอาการผิดปกติ แม้ความดันโลหิตจะสูงมากๆก็ตาม ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้อาการมาพิจารณาว่าวันนี้จะรับประทานยาหรือไม่ เช่น วันนี้สบายดีจะไม่รับประทานยาเช่นนั้นไม่ได้

          การรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติตลอดเวลาเป็นระยะเวลานาน จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคแทรกทางสมอง หัวใจ ไต และหลอดเลือดได้

          การรักษาแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ การไม่ใช้ยากับการใช้ยา การไม่ใช้ยาหมายถึงการลดน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดบุหรี่ และหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม ในผู้ป่วยที่ความดันโลหิตสูงเล็กน้อยอาจเริ่มการรักษาโดยไม่ใช้ยา แต่หากมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจอยู่ด้วยก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาร่วมด้วย

           ปัจจุบันมียาลดความดันโลหิตอยู่หลายกลุ่ม กลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกันไป ราคาก็ต่างกันมาก ตั้งเม็ดละ 50 สตางค์ ถึง 50 บาท ยาลดความดันโลหิตที่ดีควรจะออกฤทธิ์ช้าๆ ไม่ทำให้ความดันโลหิตแกว่งขึ้นลงมากจนเกินไป สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ดีตลอด 24 ชั่วโมง โดยการรับประทานเพียงวันละ 1 ครั้ง มีผลแทรกซ้อนน้อย แต่น่าเสียดายว่ายังไม่มียาใดที่วิเศษขนาดนั้น ยาทุกตัวล้วนก็มีข้อดีข้อด้อย และผลแทรกซ้อนทั้งสิ้น อย่าลืมว่าการปล่อยให้ความดันโลหิตสูงอยู่นานๆ ก็เป็นผลเสีย ร้ายแรงเช่นกัน จึงควรติดตามการรักษาโดยการวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง หากมีผลแทรกซ้อน ควรปรึกษาแพทย์ท่านเดิมเพื่อปรับเปลี่ยนยา ไม่ควรเปลี่ยนแพทย์ไปเรื่อยๆ เพราะทำให้การรักษาไม่ต่อเนื่อง

          การรักษาความดันโลหิตสูงในผู้ป่วยสูงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นต้องรักษา แต่ต้องรักษาด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เนื่องจากหากลดความดันโลหิตมากเกินไปก็อาจเกิดผลเสียขึ้นได้

          นอกจากการรับประทานยาแล้ว การควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้ผ่องใส งดอาหารเค็ม ก็จะช่วยให้ควบคุมความดันโลหิต ได้ดียิ่งขึ้น

โรคความดันโลหิตต่ำเป็นอย่างไร รักษาโดยดื่มเบียร์จริงหรือ

          ความจริงแล้วไม่มี “โรคความดันต่ำ” มีแต่ภาวะความดันโลหิตต่ำที่เกิดขึ้นเนื่องจากร่างกายขาดสารน้ำ เช่น ท้องเสีย อาเจียน เสียเลือด อากาศร้อนจัด หรือจากยาบางชนิด ความดันโลหิตที่วัดได้ 90/60 มม.ปรอท ไม่ได้หมายความว่าเป็นความดันโลหิตที่ต่ำกว่าปกติ คนจำนวนมากมีความดันโลหิตขนาดนี้โดยไม่มีอาการผิดปกติ อาการหน้ามืด เวียนศีรษะบ่อยๆ ที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นจาก "ความดันต่ำ" นั้น อาจเกิดจากหลายสาเหตุ มักจะเกิดจากการขาดการออกกำลังกาย มากกว่าที่จะเกิดจากภาวะ ความดันโลหิตต่ำ การรักษาภาวะความดันโลหิตต่ำต้องรักษาที่สาเหตุไม่ใช่การดื่มเบียร์อย่างที่เข้าใจกัน


                                                         กลับ


 

โรคโลหิตจาง



          เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับเฮโมโกลบินในเลือดต่ำกว่าปกติ พบได้ในทุกอายุและทั้งสองเพศ

อาการ

          ถ้าเป็นน้อยๆอาจมีอาการเหนื่อนง่าย รู้สึกเพลียๆ แต่ถ้าเป็นรุนแรงจะมีอาการไม่มีแรง ซีดเซียว หัวใจเต้นเร้ว หายใจไม่ออก มึนงง เท้าบวม และปวดขา

สาเหตุ

1. เกิดจากการขาดธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบิน (ทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนไปตามกระแสเลือด) มักเกิดในกลุ่มเด็กวัยรุ่น

2. การสูญเสียเลือดมากๆในช่วงมีประจำเดือน

3. มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร

4. เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงแตก

5. เกิดภาวะผิดปกติในการสร้างเม็ดเลือดแดง

6. ร่างกายไม่ดูดซึมวิตามิน บี 12 ( pernicious anaemia )

คำแนะนำ

1. รัประทานเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ ตับสัตว์ เลือดสัตว์ ถั่วและผักใบเขียวเข้มเป็นแหล่งที่มีธาตุเหล็กมากที่สุด

2. รัประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เพื่อให้ได้ วิตามินซี จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชได้ดีขึ้น

3. งดการดื่มน้ำชาระหว่างมื้ออาหาร สารแทนนินที่มีอยู่ในน้ำชาจะไปขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กได้

4. งดการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทรำสำเร็จรูปมากเกินไป เนื่องจากกรดไฟติกที่มีอยู่ในรำข้าวสาลีและข้าวกล้อง จะไปยับยั้งการดูดซึมธาตุเหล็กได้


                                                        กลับ


 

โรคเบาหวาน





          หมายถึงภาวะที่ร่างกายไม่สามารถสร้างหรือใช้อินซูลินได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย โดยปกติอินซูลินมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานของร่างกาย สาเหตุที่แท้จริงของโรคเบาหวานยังไม่แน่ชัด อย่างไรก็ตามปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคนี้คือ พันธุกรรมและแบบแผนการดำเนินชีวิต ผู้ที่เป็นโรคนี้อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ตาบอด หรือมีการทำลายของเส้นประสาท

อาการ

          ปัสสาวะบ่อยมากขึ้นถ้าระดับน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่า180มก.% โดยเฉพาะในเวลากลางคืนผู้ป่วยจะหิวน้ำบ่อยเนื่องจากต้องทดแทนน้ำที่ถูกขับออกทางปัสสาวะ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เกิดเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลจึงย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา ผู้ป่วยจะกินเก่งหิวเก่งแต่น้ำหนักจะลดลง อาการอื่นๆที่อาจเกิดได้แก่ การติดเชื้อ แผลหายช้า คัน เห็นภาพไม่ชัด ชาไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา อาเจียน

สาเหตุ

          ยังไม่ทราบแน่นอนแต่องค์ประกอบสำคัญที่อาจเป็นต้นเหตุของการเกิดได้แก่ กรรมพันธุ์ อ้วน ขาดการออกกำลังกาย หากบุคคลใดมีปัจจัยเสี่ยงมากย่อมมี่โอกาสที่จะเป็นเบาหวานมากขึ้น

คำแนะนำ

1. รับประทานอาหารให้ถูกต้องตามที่กำหนดให้ และรู้จักวิธีใช้อาหารที่สามารถทดแทนกันได้

2. ใช้อินซูลินหรือยาเม็ดให้ถูกต้องตามเวลา

3. ระวังรักษาสุขภาพอย่าตรากตรำเกินไป

4. รักษาร่างกายให้สะอาดและระวังอย่าให้เกิดบาดแผล

5. หมั่นตรวจน้ำตาลในปัสสาวะ

6. ออกกำลังกายแต่พอควรสม่ำเสมอ

7. ถ้ามีอาการอ่อนเพลีย ตกใจ หวิวใจสั่น เหงื่อออก หรือมีอาการปวดศรีษะตามัว ให้รับประทานน้ำหวานหรือน้ำตาลเข้าทันทีทั้งนี้เนื่องจากรับประทานอาหารไม่เพียงพอกับยา แต่ถ้าได้รับประทานอาหารที่น้ำตาลมากเกินไปและได้อินซูลินหรือยาน้อย ผู้ป่วยจะมีอาการง่วงผิวหนังร้อนผ่าว คลื่นไส้ อาเจียนหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้ ถ้าทิ้งไว้อาจทำให้ไม่รู้สึกตัว ต้องรีบตามแพทย์ทันที

8. ผู้ป่วยโรคเบาหวานควรมีบัตรบ่งชี้ว่าเป็นเบาหวาน และกำลังรักษาด้วยยาชนิดใดอยู่เสมอ และควรมีขนมติดตัวไว้ด้วย

9. อย่าปล่อยตัวให้อ้วนเพราะ 80% ของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากการอ้วนมาก่อน

10. อย่าวิตกกังวลหรือเครียดมากเกินไป

11. เบาหวานเป็นกรรมพันธุ์ได้ หากสงสัยว่าเป็นเบาหวานควรได้รับการตรวจเลือดจากผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น

12. ต้องระมัดระวัง เมื่ออายุเกิน 40 ปี ควรตรวจเลือดดูเบาหวานทุกปีเพราะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้ง่าย


                                                       กลับ


 

โรคริดสีดวง



          คือการโป่งพองของหลอดเลือดดำบริเวณส่วนล่างสุดของไส้ตรงและช่องทวารหนัก และเมื่อมีกากอาหารหรืออุจจาระผ่านก็จะทำให้เกิดการระคายเคือง อาจมีเลือดออก คันบริเวณทวารหนักหรือปวดขณะขับถ่าย ริดสีดวงทวารแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ

ริดสีดวงภายใน

          จะอยู่ภายในไส้ตรง ซึ่งจะไม่สามารถมองเห็นหรือรู้สึกได้และมักจะไม่รู้สึกเจ็บปวด เนื่องจากมีเส้นประสาทมาเลี้ยงน้อย บางครั้งริดสีดวงภายในอาจยื่นออกมาด้านนอกซึ่งจะทำให้มองเห็นได้และจะมีอาการเจ็บปวด ริดสีดวงภายใน แบ่งออกเป็น 4 ระยะคือ

1.ไม่มีก้อนยื่นออกมานอกทวารหนัก

2.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระและหดกลับเข้าไปได้เอง

3.มีก้อนยื่นออกมาขณะเบ่งอุจจาระแต่ไม่หดกลับเข้าไป ต้องใช้มือช่วยดันเข้าไป

4.มีก้อนยื่นออกมาและไม่สามารถใช้มือดันเข้าไปได้

ริดสีดวงภายนอก

          จะอยู่บริเวณทวารหนัก มักจะมีอาการเจ็บปวด สามารถมองเห็นและรู้สึกได้

อาการ

1.ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ลักษณะจะเป็นดังนี้คือ จะถ่ายอุจจาระออกมาก่อน(ระหว่างถ่ายอาจจะเจ็บหรือไม่ก็ได้) จากนั้นจะมีเลือดสดๆ หยดออกมาตามหลังจากอุจจาระ เลือดจะเป็นเลือดสดจริงๆ มักไม่มีมูกเลือดปน

2.มีก้อนออกมาระหว่างถ่ายอุจจาระ ขณะที่เบ่งอุจจาระจะมีก้อนยื่นออกมาหรือมีก้อนออกมาตลอดเวลา ขึ้นกับระยะที่เป็น

3.เจ็บและคันบริเวณทวารหนัก ปกติริดสีดวงจะไม่เจ็บ จะเจ็บในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนเช่น เส้นเลือดอุดตัน(Thrombosis) หรือมีเนื้อเยื่อตาย(Necrosis)

สาเหตุ

1. กรรมพันธุ์

2. การตั้งครรภ์

3. การที่ต้องนั่งหรือยืนนานๆ

4. ป่วยเป็นโรคที่ทำให้เกิดความดันในช่องท้องสูง ตัวอย่างเช่น โรคตับเรื้อรัง, โรคก้อนเนื้อในช่องท้อง เป็นต้น

5. ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง

คำแนะนำ

1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอรับประทานอาหารที่มีกากใยสูงเช่น ผักและผลไม้

2. ฝึกหัดการขับถ่ายให้เป็นเวลาหลีกเลี่ยงอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเดินบ่อยๆ

3. ดื่มน้ำให้มากพอ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว


                                                         กลับ


 

สิว ฝ้า



สิว แบ่งเป็น 2 ชนิด

1.สิวไม่อักเสบ เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมัน (COMEDONE) แบ่งเป็น 2 ชนิด

1.1 สิวหัวปิด เห็นเป็นตุ่มเล็กๆ หัวขาวๆ

1.2 สิวหัวเปิด หรือสิวหัวดำ

2.สิวอักเสบ คือสิวที่หัวแดงๆ หรือเป็นหนอง พวกนี้ก็คือ (COMEDONE) ที่มีการติดเชื้อ(BACTERIA) แทรกซ้อน

         ดังนั้น ถ้าเป็นสิวอักเสบ การทำความสะอาดใบหน้าด้วยสบู่อ่อนๆ และการป้องกันไม่ให้มีการอุดตันที่รูขุมขน(COMEDONE) โดยการใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในตอนกลางวัน ก็พอจะช่วยให้สิวลดลงหรือป้องกันไม่ให้สิวใหม่เกิดขึ้น แต่ถ้าเป็นสิวอักเสบ คงต้องปรึกษาแพทย์เพราะต้องใช้ปฏิชีวนะ(กินหรือทาแล้วแต่ความรุนแรงของสิว) สิวอักเสบควรจะต้องรีบรักษาถ้าไปแกะหรือบีบหนองออกจะเป็นรอยแผลเป็น บุ๋มตลอดไป รักษายากมาก

การนอนดึกทำให้สิวเพิ่มขึ้นได้ ส่วนใหญ่จะเป็นสิวอักเสบ อาจเป็นเพราะ

1.ร่างกายอ่อนแอ เชื้อ Becteria ในสิวทำให้มีการอักเสบมากขึ้น

2.Hormone เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในผู้หญิง ตัวอย่างเช่น บางคนประจำเดือนหรือขณะตั้งครรภ์จะมีสิวเพิ่มขึ้น

การรักษาสิวมีหลักง่ายๆ 2 วิธี คือ

1. ถ้าเป็นสิวเม็ดเล็กๆ จำนวนไม่มาก ก็ทำความสะอาดผิวหนังและใช้ยาทารักษาสิวบ้างเป็นบางครั้ง

2. ถ้าเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ๆ หลายๆเม็ด ก็ต้องรับประทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย

การจะใช้ยาทาหรือยารับประทาน คงต้องปรึกษาแพทย์อีกครั้งหนึ่ง

ฝ้าแบ่งง่ายๆเป็น 2 ชนิด

1. แบบตื้น (Superficial type) ลักษณะเป็นสีน้ำตาลขอบชัด ขึ้นเร็ว หายเร็ว รักษาโดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆและยากันแดดสามารถหายได้

2. แบบลึก (Deep type) ลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด ไม่หายขาด การทายาฝ้าอ่อนๆและยากันแดดพอทำให้ดีขึ้นได้

ข้อแนะนำ

1. คนเป็นฝ้าไม่ควรใช้ยาเองเพราะอาจได้รับยาฝ้าที่แรงเกินไป ทำให้เกิดผลข้างเคียง และเกิดการติดยา หยุดยาไม่ได้

2. แสงแดดทำให้เป็นฝ้าและทำให้ฝ้าเห่อขึ้นได้ เพราะฉะนั้นคนเป็นฝ้าต้องใช้ยากันแดด SPF > 15เป็นอย่างน้อย และหลีกเลี่ยงแสงแดดเสมอ

          ส่วนพวกที่ว่าหายแล้วเป็นใหม่แสดงว่าหายเพราะทายา พอหมดฤทธิ์ยาก็กลับเป็นใหม่ พวกนี้เป็นชนิดที่ต้องใช้ยาทาไปเรื่อย ๆ ส่วนเรื่องฤทธิ์แทรกซ้อน จากการใช้ยาขึ้นอยู่กับใช้ยาชนิดใด บางชนิดใช้แล้วหน้าแดงและเป็นสิว ปัจจุบันมียาที่มีฤทธิ์แทรกซ้อนน้อยลง

สาเหตุของการเกิดฝ้า คือ

          จากพันธุกรรมขึ้นอยู่กับเชื้อชาติและสีผิว ชนชาติผิวขาวเช่น คนยุโรปไม่ค่อยเป็นฝ้า ส่วนคนผิวคล้ำเช่น คนนิโกร คนอินเดีย ไม่พบปัญหาเรื่องฝ้า ถึงเป็นก็คงมองไม่เห็นเพราะผิวสีคล้ำอยู่แล้ว เป็นผลจากฮอร์โมน ส่วนใหญ่เป็นในคนอายุกลางคนเลยวัยรุ่นไปแล้ว ยิ่งอายุมากขึ้นมีโอกาสที่เป็นมากขึ้น ผลจากฮอร์โมนที่เห็นได้ชัด คือการเกิดฝ้าในคนท้องหรือขณะกินยาคุม ภายหลังคลอดหรือหยุดยา ฝ้าจะค่อย ๆ จางลง แต่มีบางรายถึงแม้สาเหตุหมดไปแล้วแต่ฝ้ายังคงอยู่

          เป็นผลจากแสงแดด เนื่องจากแดดมีฤทธิ์เป็นตัวกระตุ้นเซลล์ ผิวหนังให้สร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น แสงแดดอาจไม่ใช่สาเหตุของฝ้าโดยตรง ผู้ที่ตากแดดจัดบางคนก็ไม่เกิดฝ้า แต่แสงแดดมีผล ทำให้ฝ้าเป็นมากขึ้น คือสีเข้มขึ้น

          เป็นผลจากการใช้เครื่องสำอาง เครื่องสำอางบางชนิดมีสารที่ทำให้ผิวดำเมื่อถูกแสง ได้แก่สารโซลาเรน สารดังกล่าวพบอยู่ในน้ำหอมบางชนิด ในเครื่องสำอางสมุนไพร การรักษาฝ้าให้หายขาดจึงขึ้นอยู่กับชนิดและสาเหตุ ถ้าเป็นฝ้าชนิดพันธุกรรมและฮอร์โมนจะเป็นชนิดที่รักษายาก ถ้าเป็นชนิดเกิดจากฮอร์โมนในหญิงมีครรภ์ ยาคุม แสงแดด และเครื่องสำอาง อาจรักษาให้หายขาดได้

หลักการรักษาฝ้า

          ในปัจจุบันนิยมใช้ตัวยาฟอกสีผิวร่วมกับสารป้องกันแสงแดด ยาฟอกสีผิวมีหลายชนิด เช่น ไฮโดรควิโนน กรดวิตามินเอ กรดอาเซลิก กรดโคจิก บีเอชเอ เอเอชเอ สารเหล่านี้ทำให้ฝ้าจางลงแต่เมื่อใช้ไปนานๆ อาจมีฤทธิ์แทรกซ้อน มีหน้าแดงจัด ถ้ายิ่งโดนแดดจะกลับหน้าดำและเกิดจุดด่างขาวและมีสิวขึ้นสารบีเอชเอหรือเอเอชเอมีฤทธิ์ทำให้เซลล์ชั้นนอกของผิวหลุดลอกออก ทำให้สีผิวจางลง ได้ผลดีชั่วคราวเมื่อหยุดฤทธิ์ยาก็จะกลับสภาพเดิม ทำให้ต้องลอกบ่อยๆ ถ้าใช้ความเข้มข้นสูงทำให้ระคายเคืองมาก

          สมัยหนึ่งมีผู้นิยมใช้สารคอร์ติโคสตีรอยด์ซึ่งทำให้ฝ้าจางลงได้ก็จริง แต่เมื่อใช้ไปสักพักจะมีฤทธิ์แทรกซ้อนทำให้เกิดเป็นสิว ผิวหน้าบางลงจนเห็นเส้นเลือดเป็นร่างแหอยู่ใต้ผิวและมีขนขึ้นบริเวณที่ทายา เนื่องจากฤทธิ์แทรกซ้อนดังกล่าว ยาตัวนี้จึงไม่ควรนำมาใช้บนใบหน้า การใช้สารป้องกันแดดเป็นการช่วยป้องกันฝ้าได้มาก

          ผู้ที่เป็นฝ้าเล็กน้อยอาจใช้ยากันแดดอย่างเดียว ฝ้าจะจางลงได้ ขณะเดียวกันจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดมีฝ้าขึ้นมาใหม่ การใช้ยาลอกฝ้าที่มีฤทธิ์รุนแรงอาจทำให้ผิวเสียได้มาก ถ้ารักษาไม่หายอาจหันมา ใช้วิธีปกปิดรอยฝ้าด้วยเครื่องสำอาง ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาคุณภาพจนใช้ประโยชน์ได้ดีและไม่ทำลายผิวพรรณ


                                                         กลับ


 

14.8.53

ทายนิสัยจากสัตว์เลี้ยง

          คนเรามักจะนิยมหาสัตว์เลี้ยงมาไว้เป็นเพื่อนเล่นยามเหงา นอกจากจะบ่งบอกว่าคุณเป็นคนอ่อนโยนแล้ว ยังสามารถบอกตัวตนของคุณจากสัตว์ที่คุณเลี้ยงได้อีกด้วย


ถ้าคุณเลี้ยงแมว

          ถ้าคุณชอบแมว รักแมวเป็นชีวิตจิตใจ ลักษณะนิสัยของคุณจะเป็นคนทีรักอิสระเสรี รักตัวเอง ตามใจตัวเองเป็นที่หนึ่ง เป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง มักจะไม่ชอบอยู่ในบงการของใคร บางครั้งดูเป็นคนหยิ่งจนน่าหมั่นไส้ เป็นคนช่างเอาอกเอาใจ ขี้อ้อน (เมื่ออารมณ์ดีหรือเมื่อต้องการสิ่งใด) เป็นคนทำงานมีระเบียบเรียบร้อย พิถีพิถัน มีรสนิยมดี เครื่องประดับหรือของใช้มักจะต้องมีแบรนด์เนม หรือถ้าไม่ใช่ก็ต้องมีคุณภาพดีไว้ก่อน บางครั้งคนที่ไม่สนิทอาจมองว่าคุณเป็นคนไม่ค่อยจริงใจ เนื่องมาจากความรักอิสระและความเป็นตัวของตัวเองของคุณ



ถ้าคุณเลี้ยงสุนัข

          “นี่เธอ ดูลูกหมาตัวนั้นสิ น่ารักจังเลย” จากนั้นคุณก็จะเดินเข้าไปดูมัน ลูบหัวลูบหางมันแค่นี้ก็เป็นสุขแล้ว แม้แต่คุณด่างข้างถนนคุณก็รักมัน ขอบเล่นกับมันทุกครั้งที่คุณเห็น ความรักที่คุณมีให้สุนัขเช่นนี้บ่งบอกได้ถึงความรักที่จริงใจของคุณ รักเพื่อนพ้อง มีน้ำใจโอบอ้อมอารี เต็มใจช่วยผู้ที่เดือดร้อน เป็นคนรักความเป็นธรรมดั่งท่านเปา ซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนไม่ย่อท้อ หรืออ่อนแอต่ออุปสรรคต่างๆ กล้าเผชิญกับปัญหา ข้อเสียของคุณคือ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย เพราะความไม่รู้จักยืดหยุ่นของคุณนั่นเอง



ถ้าคุณเลี้ยงปลา

          มักจะเป็นคนโรแมนติก ช่างฝัน เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์สืบเนื่องมาจากคุณมักจะนำความคิดของคุณมาจัดตู้ปลาอยู่บ่อยๆ เป็นคนสุภาพเรียบร้อย อาจถึงขั้นขี้อาย โกรธง่ายแต่หายเร็ว เป็นคนไม่ทะเยอทะยานมากนัก มักมองโลกในแง่ดี เพราะความช่างฝันของคุณ แต่เห็นน่ารักๆ อย่างนี้เถอะ เวลาจะร้ายก็ร้ายนัก ช่างประชดประชันก็ต้องยกให้ที่หนึ่ง ก้าวร้าวขึ้นมาทันทีเมื่อโมโห



ถ้าคุณเลี้ยงหนู

          บ่งบอกได้ถึงความฉลาดเฉลียวของคุณ ปรับตัวง่าย มีมนุษย์สัมพันธ์เยี่ยม ไหวพริบเป็นเลิศ มักเป็นคนพูดน้อย ขยัน รักความก้าวหน้า มีความกระตือรือร้นในสิ่งที่ตนกำลังกระทำเป็นอย่างดี เป็นคนขี้ระแวง ไม่มองโลกด้านเดียว รักอิสระ ประหยัดอดออม ชอบดูแลงานบ้านงานเรือน ตกแต่งบ้านให้น่าอยู่เสมอ และมักจะเป็นนักจอมวางแผน ไม่ว่าการใดมักจะวางแผนล่วงหน้าเสมอ


ถ้าคุณเลี้ยงนก

          สำหรับคุณที่รักนก คุณเป็นคนรักอิสระเหนือสิ่งอื่นใด ทำอะไรตามใจตัวเอง ไม่ชอบการผูกมัดหรือการอยู่กับที่ หรือทำอะไรแบบเดิมนานๆ เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว มีความกระตือรือร้น เป็นคนรักสวยรักงาม ข้อเสียของคุณคือ ขี้หงุดหงิด จู้จี้ ขี้บ่น เบื่อง่าย ไม่เก็บอารมณ์



ถ้าคุณเลี้ยงกระต่าย

          คุณเป็นคนประเภทคมในฝัก ข้างนอกขรุขระข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง ประมาณนั้น เป็นคนมีปฏิภาณไหวพริบดีเยี่ยม พลิกแพลงสถานการณ์เก่ง จึงสามารถเอาตัวรอดได้ดี เป็นคนสุภาพ อ่อนโยน รักสวยรักงาม รักความสะดวกสบาย คล่องแคล่วว่องไว เป็นคนมีจิตใจมั่นคง โรแมนติก



                                                         กลับ


 

โรคกระเพาะอาหาร



          โรคกระเพาะเป็นโรคที่พบบ่อยโรคหนึ่ง บางท่านอาจเรียกโรคกระเพาะอาหาร เพราะอาการปวดท้องที่เป็นมักสัมพันธ์กับการรับประทานอาหาร ความหมายของโรคกระเพาะนั้น โดยทั่วไปหมายถึงโรคแผลในกระเพาะอาหาร แต่ที่จริงแล้วโรคกระเพาะยังหมายรวมถึงโรคแผลที่ลำไส้เล็ก, โรคกระเพาะอาหารอักเสบ และโรคลำไส้อักเสบอีกด้วย

สาเหตุ

          สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารนั้นมีมากมาย ซึ่งแต่ละสาเหตุจะทำให้เกิดภาวะที่มีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป เช่นการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา การรับประทานยาแก้ปวดจำพวก Aspirin ในขณะท้องว่าง การรับประทานยาแก้อักเสบหรือแก้ปวดจำพวกยาที่ใช้กันในโรคกระดูกและข้อ การดื่มสุรา และการสูบบุหรี่ นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการตรวจพบว่ามี bacteria ชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของคนเราได้ bacteria ตัวนี้พบว่ามีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะได้

อาการ

          อาการโรคกระเพาะที่พบบ่อยคือ มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ แต่บางคนอาจมีอาการแน่นท้องบางรายอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ผลข้างเคียงของโรคกระเพาะที่มีอันตราย ได้แก่ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ และกระเพาะอาหารที่เป็นแผลทะลุทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงได้

          ในกรณีที่ท่านมีอาการปวดท้องและสงสัยว่าจะเป็นโรคกระเพาะ ท่านควรรับคำปรึกษาจากแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ เนื่องจากสาเหตุของการปวดท้องมีมากมาย หากยังไม่มีความแน่ใจ ท่านควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์จะซักประวัติของท่านอย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น มีการตรวจร่างกายเพื่อว่าจะหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์อาจให้การรักษาโดยให้ยาลดกรดในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็ก หรือในบางกรณีอาจมีการตรวจเพิ่มเติม โดยแพทย์อาจพิจารณาใช้กล้องส่องตรวจกระเพาะอาหารหนือให้กลืนแป้งแล้วเอ็กซเรย์ เพื่อดูให้เห็นร่องรอยของแผลในกระเพาะอาหารหรือในลำไส้เล็กส่วนต้น จะทำให้การวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้องแม่นยำขึ้น

การรักษา

          ่การรักษาที่สำคัญที่สุด ของโรคกระเพาะคือ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคกระเพาะนั่นเอง โดยท่านต้องรับประทานให้ตามเวลา การหลีกเลี่ยงการดื่มสุรา การสูบบุหรี่และการระมัดระวังการรับประทานยาที่อาจมีผลต่อการทำให้มีกรดในกระเพาะอาหารมากยิ่งขึ้น ตลอดจนการระมัดระวังเรื่องความเครียด ความวิตกกังวล ซึ่งก็มีส่วนในการทำให้เกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ด้วยเช่นกัน


                                                         กลับ


 

13.8.53

โรคผมร่วง



สาเหตุของผมร่วง มีหลายอย่างมาก ที่พบบ่อย ๆ เช่น

1. ผมร่วงเป็นหย่อม (Alopecia areate) ซึ่งจะร่วงเป็นวงกลม ๆ คล้ายเหรียญบาทหรือใหญ่กว่า

2. ผมร่วงหลังคลอด หรือไข้สูง (Telogen effluvin) พวกนี้ผมจะร่วงวันละเป็นร้อย ๆ เส้น เวลาจูงผมจะติดมือออกมาเลย

          ทั้ง 1 + 2 อาจจะหายเองได้ ดังนั้น จะมีคนไข้บางคนเข้าใจผิดว่า ใช้ยาทาตัวนั้น ตัวนี้ แล้วทำให้ผมขึ้นได้(ซึ่งจริง ๆ แล้วผมมันขึ้นเอง)

สาเหตุของผมร่วมที่พบบ่อยอีกอย่างคือผมร่วงจากกรรมพันธุ์(Androgenetic alopecia)

          พวกนี้จะถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์แต่จะไม่เกิดกับลูกหลานทุกคน(จะเป็นแต่บางคน) ผมร่วงลักษณะนี้เป็นได้ทั้งหญิงและชาย ผู้หญิงจะร่วงบริเวณกลางกระหม่อม ส่วนผู้ชาย จะร่วงบริเวณกลางกระหม่อมด้านหน้า (หัวเถิก)

การรักษาผมร่วงจากกรรมพันธุ์

          แบบเดิม ๆ ก็คือการใช้ยา Minoxidil กินและทา การทาจะได้ผลเพียง 30% ส่วนการกินจะได้ผล 90% แต่ข้อเสียของการทานยา คือเวลาหยุดยาแล้วผมจะร่วงเหมือนเดิมและการทาน ยานาน ๆ (6 เดือนขึ้นไป) จะมีอาการดื้อยา ผมจะร่วงได้ ทั้งๆ ที่รับประทานยาอยู่ ขณะนี้มียาตัวใหม่ ชื่อ Finasteride ซึ่งจะไปยับยั้ง enzyme ทำให้การผลิต Hormone เพศชาย Dilaydrotestosterone (DHT) ลดลง ซึ่งคิดกันว่าตัว DHT นี้แหละ เป็นสาเหตุของการทำให้ผู้ชายผมร่วง ถ้ามีมากเกินไป (ซึ่งผู้ชายที่ผมร่วงจากกรรมพันธุ์มักจะพบ Hormone DHT สูงกว่าปกติ)

แต่ข้อเสียของยาตัวนี้ก็คือ

1. ห้ามใช้ในผู้หญิง

2. อาจทำให้ความรู้สึกทางเพศลดลงได้

3. เวลาหยุดยา อาจทำให้ผมร่วง เหมือนยา Minoxidil ได้

          สุดท้ายถ้าการกินยา และทายาไม่ได้ผล ก็ต้องทำศัลยกรรม โดยแพทย์ศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งจะย้ายเส้นผมมาปลูกเป็นเส้น ๆ เลย ได้ผลดีทีเดียว แต่ค่าใช้จ่ายก็สูงพอสมควร ส่วนการถักทอเส้นผมที่บางเต็มนั้น เทียบแล้ว เหมือนการใส่วิกนั่นแหละ การฝังเข็ม และ ผลิตภัณฑ์จากรกแกะ ไม่น่าได้ผล


                                                          กลับ