7.11.55

เรื่องเล่า 12 นักษัตร




ตำนาน 12 นักษัตรของจีนก็มีเรื่องเล่าตามนิทานว่า สมัยก่อนในยุคที่ยังไม่มีการกำหนดนักษัตรประจำปี เทพเจ้าแห่งสวรรค์จะลงมายังโลกมนุษย์มาจำศีลอยู่บนภูเขาเทพเพื่อให้สัตว์ต่างๆ ได้มาทำการคาราวะและขอพรเป็นประจำทุกๆ ปีในช่วงปีใหม่ แต่ในปีนี้เทพเจ้าท่านมีความคิดว่าน่าจะให้สัตว์ทั้งหลายได้ทำหน้าที่พิเศษเพื่อเป็นประโยชน์ขึ้นมาบ้าง ท่านจึงมีความคิดว่าสัตว์ตัวไหนที่มาแสดงความยินดีกับท่านในวันขึ้นปีใหม่ มาถึงก่อน 12 ตัวแรก จะได้รับตำแหน่งพิเศษที่มีความสำคัญมากเป็นรางวัล เทพเจ้าเมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วจึงเขียนป้ายประกาศขึ้นมาและนำไปปักไว้ที่เชิงเขาเพื่อเป็นการประกาศต่อสัตว์ทั้งหลาย

ในป้ายประกาศมีข้อความเขียนไว้ว่า “ในวันขึ้นปีใหม่ปีนี้ผู้ที่ขึ้นเขามาเพื่อแสดงความยินดีในวันขึ้นปีใหม่กับข้าก่อนใคร 12 ตัวแรก จะได้รับตำแหน่งตามลำดับตั้งแต่หนึ่งถึงสิบสองผลัดกันไปปีละหนึ่งครั้ง จะได้เป็นสัตว์ที่มีหน้าที่พิเศษคุ้มครองปีนั้นๆ ตามลำดับ” นี่คือคำประกาศของข้า “เทพเจ้าแห่งสวรรค์”

สัตว์ต่างๆ เมื่อได้อ่านป้ายประกาศแล้วก็มีความยินดีและตื่นเต้นอย่างเหลือล้น แต่ก็มีแมวจอมขี้เซาที่ชอบนอนบิดขี้เกียจตัวหนึ่ง หลังจากที่อ่านประกาศมาหลายวันก็ลืมเสียแล้วว่าเทพเจ้าประกาศไว้ว่าอย่างไร เจ้าแมวนึกขึ้นมาได้ลางๆ จึงรีบไปถามเจ้าหนูว่าเทพเจ้าประกาศว่าให้ไปวันไหน เจ้าหนูจอมเจ้าเล่ห์จึงโกหกกับแมวไปว่า เทพเจ้าสั่งให้ไปหาในวันรุ่งขึ้นอีกวันหลังวันขึ้นปีใหม่ ห้ามไปหาในวันขึ้นปีใหม่นะ จำไว้ให้ขึ้นใจด้วย เจ้าแมวก็เลยโล่งใจหันกลับมาหลับขี้เซาอย่างเดิม

แล้ววันขึ้นปีใหม่ก็ใกล้มาถึง เจ้าวัวผู้เป็นสัตว์ที่เฉื่อยชาเดินช้าไม่ทันใคร จึงต้องออกเดินทางตั้งแต่กลางคืน แต่ระหว่างที่เดินไปด้วยความเชื่องช้านั้น ก็มีหนูเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งแอบขึ้นไปเกาะที่หางวัวโดยที่วัวไม่ทันรู้ตัวเลย เจ้าหนูตัวนี้อาศัยอยู่ใกล้ๆ กับวัวก็เลยคอยหาจังหวะ และรู้ว่าวัวจะต้องออกเดินทางไปแต่หัวค่ำก่อนหน้าใคร เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาก็เช้าเป็นวันปีใหม่พอดี และเมื่อวัวเข้าใกล้จุดหมายหนูจอมเจ้าเล่ห์ก็กัดวัว ทำให้วัวเจ็บ และสะบัดหางไปข้างหน้า เจ้าหนูจอมเจ้าเล่ห์ก็รีบวิ่งไปยืนตรงหน้าของเทพเจ้า เป็นอันดับหนึ่ง พอไปยืนอยู่หน้าเทพเจ้าแล้ว เจ้าหนูก็รีบตะโกนขึ้นว่า ขอแสดงความเคารพและสวัสดีปีใหม่ท่านเทพเจ้า เทพเจ้ากล่าวทักทาย “สวัสดีปีใหม่เจ้าหนูตัวน้อย ผู้ที่มาเป็นตัวแรก ที่หนึ่งเป็นเจ้าแล้วนะ” เจ้าวัวที่รีบออกเดินทางมาแต่ มืดก่อนใครกลับเสียแชมป์ไปให้กับเจ้าหนูจอมเจ้าเล่ห์ แต่วัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะโกรธและถือสาหนูเลย อันดับที่ 2 จึงเป็นของเจ้าวัว “ใช้ความอุตสาหะและอดทนมากนะเจ้าวัว ข้าขอแสดงความยินดีด้วย” เจ้าวัวเมื่อได้รับคำชมจากเทพเจ้าก็แกว่งหางไปมาแสดงความยินดีเป็นที่สุด

ส่วนสัตว์ตัวอื่นๆ ทั้งหลายเมื่อเวลาเช้ามาถึงแล้วก็รีบออกเดินทางเพื่อจะขึ้นไปแสดงความยินดีกับเทพเจ้าบนยอดเขา เจ้ากระต่ายวิ่งอย่างเพลิดเพลินด้วยความภูมิใจในความเร็วของตัวเอง แต่ก็มีเจ้าเสือตัวใหญ่วิ่งตามมาติดๆ เจ้ากระต่ายพอเหลือบไปเห็นว่ามีเสือวิ่งตามมา ก็รีบวิ่งกระโดดเข้าไปหลบในดงไม้ เป็นเหตุให้เจ้าเสือจึงได้เป็นอันดับที่ 3 กระต่ายได้เป็นอันดับที่ 4 ไปตามลำดับ

พอดีตอนนั้นพญามังกรกำลังออกมาบินเล่นบนท้องฟ้าก็เหลือบไปเห็นป้ายประกาศของเทพเจ้าเข้า พลันก็คิดไปว่า “ต้องข้าสิถึงจะเป็นที่หนึ่ง จะต้องเป็นข้าสิ” พญามังกรทะยานบินขึ้นไปจนสูงเหนือเมฆแล้วมองไปทางยอดเขา เห็นข้างหน้ามีงูกำลังเลื้อยไปมาอยู่ข้างล่างตรงทางที่จะไปสู่ยอดเขา งูกำลังเลื้อยเขาไปใกล้ทุกทีแล้ว เห็นทีช้าไปจะไม่ได้การเสียแล้ว ว่าแล้วพญามังกรก็รีบทะยานขึ้นสูงขึ้นไปอีกแล้วพุ่งตัวลงสู่ยอดเขาทันทีทันใดนั้นเลย มังกรจึงได้เป็นที่ 5 แล้วที่ตามมาติดๆ ก็คือเจ้างูน้อยได้ลำดับที่ 6 ไปครอง

มีสัตว์ที่เป็นเพื่อนรักกันคู่หนึ่งเดินทางมาด้วยกัน นั่นก็คือม้ากับแพะ สัตว์สองตัวนี้สามัคคีกันดีมานานแล้วเรียกว่ามีม้าที่ไหนก็ต้องมีแพะที่นั่น ม้ามีจิตใจที่อ่อนโยนแต่เจ้าแพะนี่สิเป็นพวกใจเสาะและขี้กลัวจนขึ้นสมอง แพะเดินตามม้าไปด้วยตัวอันสั่นเทา  แม้แต่เสียงลมพัดใบไม้ไหวแค่นิดเดียวเจ้าแพะก็ทำท่าทางตกใจไปตลอดทางเลยเชียว “เพราะกลัวหมาป่าจะโผล่ออกมานะสิ”  แพะพูดออกมาด้วยความหวาดกลัว ม้าเพื่อนรักจึงพูดปลอบใจแพะว่า “อย่าตกใจไปเลย เราสัญญาว่าจะปกป้องนายเอง” เมื่อแพะเห็นว่าม้าสัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะอย่างนั้นก็โล่งใจ แพะเลยพาม้าไปกินใบไม้แห่งความลับ(ต้นหญ้า)ที่สุดแสนอร่อยที่แพะไม่เคยบอกใครมาก่อนเป็นรางวัล อันนี้เองที่เป็นเหตุว่าทำไมม้ากับแพะจึงกินหญ้า แล้วทั้งม้าและแพะก็เดินทางขึ้นเขามาด้วยกันอย่างสามัคคี เมื่อขึ้นมาถึงยอดเขาและจวนจะถึงเทพเจ้าอยู่รอมร่อแล้วนั้น แพะก็หันมาพูดกับม้าว่า เจ้าคอยปกป้องข้ามาตลอดทางเชิญท่านไปก่อนเราเถอะ ด้วยเหตุอันนี้ม้าจึงมาเป็นอันดับที่ 7 และแพะตามมาเป็นอันดับที่ 8 ขอแสดงความยินดีและสวัสดีปีใหม่ท่านเทพเจ้า เทพเจ้ายิ้มอย่างมีความสุขแล้วพูดว่า ขอแสดงความยินดีด้วยเหมือนกัน “ม้ากับแพะมีความสามัคคีกันดี”

ไก่ปกติมีนิสัยตื่นเช้าสุดก่อนใครๆ ก็จริงแต่เมื่อคืนก่อนเจ้าไก่ไม่ยอมนอนลุกขึ้นมาสังสรรค์ต้อนรับปีใหม่จนดึกดื่น จึงทำให้วันสำคัญวันนี้นอนตื่นสายผิดปกติ ไก่จึงรีบตาลีตาเลือกกางปีกวิ่งถลาออกเดินทางขึ้นเขาไปอย่างรีบร้อน ในระหว่างที่กำลังเดินทางไปนั้น ตรงทางแยกที่จะไปสู่ยอดเขา ไก่ก็เห็นลิงกับหมากำลังตะลุมบอนทะเลาะถกเถียงกัน กอดปล้ำกันจนฝุ่นตลบไปหมด ไก่เมื่อเห็นดังนั้นจึงจำเป็นต้องเข้าไปห้ามศึกที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบ “อย่าทะเลาะกันเลย เราขึ้นเขาไปหาเทพเจ้าพร้อมกันดีกว่า” ไก่ร้องชวนเชิญ ลิงหยุดชะงักแล้วผละออกจากหมากระโดดขึ้นไปยืนบนต้นไม้แล้วพูดอย่างโมโหว่า “ไม่เอา ไม่เอา ข้าจะไปของข้าคนเดียว” ว่าแล้วลิงก็กระโดดโหนต้นไม้ปีนหายลับไปจากตรงนั้นทันที

หมากับไก่จึงออกเดินทางมาด้วยกัน เมื่อหมากับไก่กำลังจะมาถึงยอดเขาอยู่รอมร่อแล้วนั้น ลิงก็กระโดดลงมาจากต้นไม้แล้วกระโดดข้ามหน้าหมากับไก่ไปอย่างรวดเร็ว แถมวิ่งโร่เข้าไปหาเทพเจ้าอย่างหน้าตาเฉย หมากับไก่เมื่อเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามลิงเข้าไปติดๆ ผลปรากฏว่าหมากับไก่วิ่งเข้าไปถึงเทพเจ้าพร้อมๆ กัน ไม่มีใครช้ากว่ากันสักก้าวเดียวเลย เทพเจ้ามองเห็นทุกอย่างทั้งหมดจึงประกาศออกมาว่า ลิงเป็นอันดับที่ 9 แล้วชี้ไปที่ไก่ ให้ไก่เป็นอันดับที่ 10 ก่อนที่เทพเจ้าจะว่าอะไรต่อ หมาก็เห่าโฮ่ง ๆ ๆ ขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ อะไรกันท่านเทพเจ้า ลิงได้อันดับที่ 9 ข้าก็ไม่แย้งหรอก แต่ข้ามาพร้อมๆ กับไก่แล้วไฉนเลยไก่จึงได้อันดับที่ 10 ก่อนข้าหละ เทพเจ้าจึงหัวเราะและตอบหมาไปว่า ถ้าต่อจากลิงแล้วเป็นหมาก็จะเกิดการทะเลาะวิวาทได้ง่ายขึ้นสิ ข้าจึงให้ไก่มาแทรกตรงกลางเข้าใจไหมเจ้าหมา เทพเจ้าท่านรู้หมดทุกอย่างว่าหมากับลิงเป็นศัตรูกันมาแต่นมนานแล้วจึงไม่อยากให้เข้าใกล้กันมากนัก จึงตัดสินไม่ให้หมามีอันดับต่อมาจากลิง โดยตัดสินให้ไก่เข้ามาแทรกตรงกลาง เหตุอันนี้หมาจึงได้อันดับที่ 11ไปตามสาเหตุ ลิงเมื่อได้ฟังเทพเจ้าพูดเช่นนั้นก็อายจนหน้าแดงกล่ำไปหมดทั้งหน้า จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมลิงจึงหน้าแดงอยู่ตลอดเวลามาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหมาเมื่อได้ฟังเทพเจ้าพูดจบแล้วก็ได้แต่ก้มหน้าลงสู่พื้นดินด้วยยอมแพ้ในเหตุผลนั้น เลยเป็นเหตุให้หมาต้องอยู่ ในสภาพเหมือนก้มหน้าอยู่ตลอดเวลามาจนถึงทุกวันนี้เหมือนกัน

เมื่อเทพเจ้าว่าความและตัดสินคดีของลิง หมา และไก่เสร็จ ทันใดนั้นก็มีสิ่งหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วกำลังตรงเข้ามาหาเทพเจ้า เป็นหมูป่าที่มีนิสัยรีบร้อนแบบตาลีตาเหลือกนั่นเอง “โอ๊ย เสียใจจัง ข้ารีบร้อนเลยจำทางผิด ดันวิ่งไปบนเขาลูกอื่น” ข้ามาทันได้ติดอันดับกับเขาบ้างหรือเปล่าท่านเทพเจ้า “เจ้ามาทันสิ”  เป็นอันดับสุดท้ายพอดีคืออันดับที่ 12 แล้วการจัดอันดับของสัตว์ที่จะมีหน้าที่คุ้มครองปีทั้ง 12 ปีก็ถูกกำหนดและกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้นแล ส่วนสัตว์ตัวอื่นๆ ที่ขึ้นมาหาเทพเจ้าล่าช้าไปก็ทยอยออกมาสบทบกันอย่างมากมาย การแสดงความยินดีในวันขึ้นปีใหม่ระหว่างเทพเจ้าและสัตว์ต่างก็เริ่มขึ้นด้วยความสุขสนุกสนาน และก็จบลงอย่างมีความสุข

ในรุ่งขึ้นอีกวันในวันที่ 2 เจ้าแมวจึงรีบเดินทางตามมาที่ยอดเขา แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะถูกหนูเจ้าเล่ห์หลอกจึงโกรธและเกลียดหนูมาก เมื่อแมวเห็นหนูเมื่อไหร่ก็จะไล่จับทันทีด้วยความแค้น เทวดาก็เลยสั่งให้หนูหลบซ่อนในถ้ำหรือซอกรูเล็กๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมา แล้วแมวก็สัญญากับตัวเองว่า คราวหน้าถ้ามีการเลือกอันดับขึ้นมาอีกครั้งจะไม่ยอมขี้เซาอีกเป็นอันขาด แมวจึงมีนิสัยชอบเอาขาขึ้นมาถูใบหน้าไปมาอยู่ตลอดเวลา เพื่อกันไม่ให้ง่วงนอน จนถึงทุกวันนี้


                               

                                                                    กลับ




25.1.55

กฎแห่งกรรมกับโหราศาสตร์



          กฎแห่งกรรมนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นผู้สร้างขึ้น พระองค์เป็นผู้ค้นพบกฎธรรมชาติข้อนี้(และข้ออื่นๆ) แล้วนำมาชี้แจงสั่งสอนแก่คนทั่ว ๆ ไป กฎแห่งกรรมโดยย่อมีเพียงว่า "ผู้ที่ทำดีย่อมได้รับผลดี ผู้ที่ทำความชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ไม่ช้าก็เร็ว"

          กรรมและผลของกรรม(วิบาก) แบ่งตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาได้ 12 ข้อ โดยแบ่งเป็น 3 หมวด คือ
หมวดที่ 1 กรรมที่ได้ผลตามกาล มี 4 ข้อ
หมวดที่ 2 กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ มี 4 ข้อ
หมวดที่ 3 กรรมที่ให้ผลตามลำดับ 4 ข้อ

หมวดที่ 1 กรรมที่ได้ผลตามกาล มี 4 ข้อ
1. กรรมที่ให้ผลในชาติปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม)
2. กรรมที่ให้ผลในชาติหน้า(อุปัชชเวทนียกรรม)
3. กรรมที่ให้ผลในชาติต่อ ๆ ไป (อปราปรเวทนียกรรม)
4. กรรมที่ให้ผลเสร็จแล้ว/ไม่มีผล (อโหสิกรรม)

          กรรมที่เรากระทำในปัจจุบันก็ย่อมจะให้ผลกรรมแก่เราทั้ง 4 ข้อนี้ และผลของกรรม(วิบาก) ที่เรากำลังได้รับในปัจจุบันก็เป็นผลของกรรมทั้ง 4 ข้อนี้เหมือนกัน โดยข้อ 1 ถึง 3 หมายถึงกรรมที่เราเคยทำมาในชาติก่อน ๆ แล้วมาให้ผลเราในชาติปัจจุบัน

หมวดที่ 2 กรรมที่ให้ผลตามหน้าที่ มี 4 ข้อ
1. กรรมแต่งให้เกิด (ชนกกรรม)
2. กรรมสนับสนุน (อุปัตถัมภกกรรม)
3. กรรมบีบคั้น (อุปปีฬกกรรม)
4. กรรมตัดรอน (อุปฆาตกกรรม)

หมวดที่ 3 กรรมที่ให้ผลตามลำดับ 4 ข้อ คือผลของกรรมจะเกิดผลตามลำดับก่อนหลังอย่างไรขึ้นอยู่กับ 4 ข้อต่อไปนี้คือ
1. กรรมหนัก หรือครุกรรม
2. กรรมใกล้ตาย หรืออาสันนกรรม
3. กรรมที่ทำบ่อย ๆ หรืออาจิณณกรรม
4. กรรมสักว่าทำ หรือกตัตตากรรม

ในที่นี้จะขอกล่าวถึงชนกกรรมหรือกรรมแต่งให้เกิด เพราะเกี่ยวโยงกับเรื่องโหราศาสตร์

กรรมแต่งให้เกิดหรือชนกกรรม

          คือกรรมที่บันทึกไว้ในปฎิสนธิจิตหรือปฎิสนธิวิญญาณ ที่ส่งคน/สัตว์โลกอผู้นั้นไปเกิด พอเกิดแล้วก็หมดหน้าที่ของชนกกรรมไป แต่หน้าที่ที่แต่งให้เกิดนี้จำแนกย่อยได้หลายส่วนเช่น
- ให้เกิดเป็นอะไร เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นเทวดา เป็นต้น
- ให้เกิดมีรูปร่างอย่างไร ถ้าเป็นมนุษย์ก็เช่นอาการครบ 32 หรือพิการ ให้เป็นคนหล่อคนสวยหรือขี้ริ้วขี้เหร่ ลงไปในรายละเอียดเลยคือ ปาก จมูก ตาคิ้ว ผม ฯลฯ จะเป็นอย่างไร (คือเมื่อเกิดและเติบโตแล้วจะเป็นอย่างไร)
- ให้เกิดในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย ปานกลางหรือยากจน
- ให้เกิดในตระกูลที่ยศถาบรรดาศักดิ์สูงเช่น เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน หรือในตระกูลคนธรรมดา
- ให้เกิดเป็นคนที่มีพื้นนิสัยเป็นคนที่ดี หรือมีพื้นนิสัยเป็นคนไม่ดี
- ชนกกรรมนี้เป็นตัวส่งให้ปฎิสนธิวิญญาณไปเกิดในกาลเวลา(วัน เดือน ปี) และสถานที่(ตำบล เมือง ประเทศ) ที่เหมาะสมที่จะทำให้การแสดงผลของกรรมต่าง ๆ ทุกข้อที่ทำไปในอดีต(ทุกชาติ) มีผลโดยสมบูรณ์ตามกฎแห่งกรรม

          เรื่องวันเวลาสถานที่เกิดนั้นเกี่ยวโยงกันโดยตรงเช่น เด็ก 3 คนเกิดในนาทีวันเดือนและปีเดียวกัน แต่เกิดต่างสถานที่คือกรุงเทพ ลอนดอน และนิวยอร์ก ก็แปลว่าเด็กทั้ง 3 คนเกิดไม่พร้อมกัน ต่างเวลากันหลายชั่วโมงเป็นต้น


เพื่อให้มองภาพได้ชัดเจนขึ้น สมมุติให้
A คือกรรมที่ทำในอดีต
B คือชีวิตใหม่ที่เกิด (ชนกกรรม แต่งมาให้เกิด ณ วันเวลา สถานที่บนโลกที่เหมาะสม)
C คือผลกรรมในชีวิตใหม่


          ชนกกรรมนั้น นอกจากจะส่งปฎิสนธิวิญญาณมาเกิดเป็นชีวิตใหม่ใครรภ์มารดาที่ B (มีกาละ เทศะ ที่เหมาะสม เป็นพื้นฐานของการคำนวนโหราศาสตร์แบบผูกดวง) แล้ว ยังทำหน้าที่กำหนดโครงสร้างพันธุกรรม(DNA) ของชีวิตใหม่ร่วมกับยีนของบิดามารดาด้วย คือจะกำหนดไปว่า คนที่เกิดใหม่นี้จะมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร สูง ต่ำ ดำ ขาว ปาก จมูก คิ้ว สีผม ฯลฯ เป็นอย่างไร และมีรายละเอียดรูปร่างแน่ชัดไปเลย ตั้งแต่เล็กจนโต นอกจากรูปร่างหน้าตาแล้ว DNA นี้ก็ยังแสดงสุขภาพโรคภัยไข้เจ็บพื้นฐานของชีวิตใหม่ด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นกรรมจากอดีตทั้งหมดคือ A ที่บันทึกไว้ในชนกกรรม โดยปฎิสนธิวิญญาณนำมาถ่ายทอดไว้กับ DNA ของชีวิตใหม่นั่นเอง

          การทำนายจากลักษณะรูปร่างหน้าตาที่เราเรียกว่านรลักษณ์ศาสตร์ , โหงวเฮ้ง , ลายมือ , ลายเท้า ฯลฯ ก็มีผลเชื่อมโยงมาจากความจริงข้างต้นด้วย

          วิชาโหงวเฮ้ง ทำนายอุปนิสัยใจคอคนจากรูปร่างหน้าตา(โดยหลักสถิติจากการสังเกตุเช่นกัน) ว่าคนที่มีหน้าตาแบบนี้ รูปคิ้วเช่นนี้ จมูกแบบนี้ จะมีนิสัยใจคอเป็นเช่นนั้น ก็ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีความเเม่นยำสูง รูปร่างหน้าตาของคนเรานั้นถูกกำหนดโดย DNA และ DNA ก็ถูกกำหนดโดยชนกกรรม ซึ่งชนกกรรมก็คือผลรวมของกรรมในอดีตชาติของคนคนนั้นมาเกิดใหม่นั่นเอง

          วิชาโหราศาสตร์ที่เกี่ยวกับการดูลายมือ ลายเท้า ก็อธิบายได้ในลักษณะเดียวกันเพราะลายมือลายเท้าก็เป็นผลสร้างสรรค์มาจาก DNA ของคนผู้นั้นเช่นกันซึ่งก็ย้อนไปหาชนกกรรมและกรรมเก่าที่ทำไว้ในอดีตชาติได้ แต่ที่แตกต่างไปบ้างก็คือลายมือคนนั้นเปลี่ยนแปลงได้พอสมควร ลายมือที่เปลี่ยนไปบ้างนั้นเพราะสะท้อนการกระทำกรรมใหม่ของคนนั้น ๆ ในชาติปัจจุบันด้วย

          การทำนายโดยไพ่ยิปซีหรือไพ่ทาโร่ท์นั้น เป็นการทำนายโดยใช้กระแสจิต(Psychic) มาเกี่ยวข้องเป็นอย่างมากอผู้ทำนายจะต้องฝึกตนให้มีพลังจิต มีกระแสจิตแรง มีความรอบรู้รายละเอียดของไพ่ทั้งหมด ซึ่งมีอยู่หลายชุดโดยไพ่แต่ละใบก็มีหลายความหมายโดยกว้าง การทำนายแบบนี้ผู้มารับคำทำนายเป็นผู้เลือกไพ่เอง ก็จะเกี่ยวโยงกับพลังของกรรมที่สะสมอยู่ในจิตของผู้ถูกทำนายเอง ที่จะทำให้การเลือกไพ่สอดคล้องกับแนวทางที่ผลของกรรมจะปรากฎขึ้นในอนาคตตามกรรมที่ทำไปจริง ๆ กล่าวโดยรวม การทำนายโดยไพ่ยิปซีผู้ทำนายจะต้องมีพลังจิตสูงหรือกระแสจิตแรง สามารถอ่านรอยกรรมหรือแนวโน้มที่กรรมจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งอยู่ในจิตของผู้ถูกทำนาย โดยอาศัยอุปกรณ์สำคัญคือไพ่ทาโร่ท์ที่ผู้ถูกทำนายตัดสินใจหยิบเองตามลำดับในวิธีการทำนาย โหราศาสตร์แขนงนี้คนทั่วไปก็ยอมรับว่ามีความแม่นยำสูง หากผู้ทำนายมีความสามารถจริง

กฎแห่งกรรมนั้นเป็นกฎธรรมชาติที่เป็ดนจริงและเที่ยงตรง ชะตาชีวิตของคนเราเป็นไปตามกรรมที่บุคคลนั้นได้ทำไว้ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงวันที่เป็นปัจจุบัน

          โหราศาสตร์แม้จะเป็นศาสตร์จริง ๆ และมีความแม่นยำสูง แต่มิได้แปลว่าดวงดาวต่าง ๆ ในจักรวาล หรือไพ่ยิปซี หรือลายมือ เราเองกำหนดชะตาชีวิตคน โหราศาสตร์เป็นเพียงเครื่องแสดงหรือเครื่องชี้เท่านั้นเอง บุคคลผู้นั้นน่าจะได้รับผลกรรมเป็นอย่างใดจากกรรมที่บุคคลนั้นได้กระทำมาในอดีตชาติ ก่อนจะมาเกิดเป็นชีวิตใหม่ในชาติปัจจุบัน หรือจากกรรมที่บุคคลนั้นทำมาในอดีตทั้งหมดจนถึงเวลาปัจจุบันที่มีการทำนาย


บทความ
โหราศาสตร์เชื่อถือได้หรือไม่





หนังสืออ้างอิงเพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติม
- ตามหาความจริง วิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม ศาสตร์ที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
  โอฬาร เพียรธรรม  กรุงเทพ : ธรรมดา
- หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด
   วศิน อินทสระ  กรุงเทพ : ธรรมดา
- กฎแห่งกรรม
   พระเทพวิสุทธิกวี  กรุงเทพ : มหามกุฏราชวิทยาลัย




                                                                   กลับ



5.1.55

โหราศาสตร์เชื่อถือได้หรือไม่



          โหราศาสตร์เป็นเรื่องเชื่อถือได้ แต่ที่ไม่น่าจะเชื่อถือน่าจะอยู่ที่ตัวหมอดูมากกว่า ซึ่งจะมีโอกาสผิดพลาดได้ง่ายจากการผูกดวงผิดซึ่งจะทำให้การแปลความหมายผิดอย่างสิ้นเชิง ยิ่งเป็นหมอดูสมัยเก่าที่ใช้ปฎิทินโหราศาสตร์ ไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์คำนวนโอกาสผิดพลาดยิ่งมีมาก เช่นดูผิดหน้า มองผิดบรรทัด ส่วนโปรแกรมคำนวนจากคอมพิวเตอร์ก็ใช่ว่าจะไม่มีความผิดพลาดถ้าตรวจเช็คไม่ดีไม่รอบคอบ

          โหราศาสตร์เป็นวิชาที่เป็นผลมาจากกฎธรรมชาติหรือจากวิทยาศาสตร์หลาย ๆ แนวมารวมกัน คือวิชาสถิติ วิชาฟิสิกส์(ควอนตัม) พันธุกรรมศาสตร์ และดาราศาสตร์ โหราศาสตร์นั้นแม้จะมีจริง แต่โหราศาสตร์มิได้เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตมนุษย์ กฎแห่งกรรมเป็นกฎธรรมชาติที่กำหนดชะตาชีวิตมนุษย์(และสัตว์โลกทั้งปวง) ตามหลักการของพุทธศาสนา เมื่อมนุษย์ไปเกิดในครรภ์มารดา มีกรรมชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ชนกกรรม" นำไปเกิด ชนกกรรมมีหน้าที่หลายอย่าง ตามที่ระบุในพระคัมภีร์(กรรม 12) เช่น ให้เกิดเป็นคนรวยหรือคนจน เป็นคนสวยหรือขี้เหร่ เป็นคนที่มีพื้นนิสัยดีหรือไม่ดี เป็นต้น แต่ชกกรรมนี้ยังมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ ส่งปฏิสนธิจิต/วิญญาณ ไปเกิด
- ในนาที วัน เดือน ปี (คือกาล) ที่เหมาะสม
- ณ ตำบล เมือง ประเทศ ส่วนหนึ่งของโลกที่หนึ่ง (คือเทศะ) ที่เหมาะสม
- ในครอบครัวที่เหมาะสม
             ฯลฯ

          เหมาะสมกับอะไร คือเหมาะสมกับชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นจะต้องมีปฎิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ สรรพสิ่งอื่น ๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต เพื่อให้มนุษย์ที่เกิดใหม่นี้รับผลกรรมที่ได้กระทำไว้ในชาติก่อน ๆ ได้โดยครบถ้วน ถูกต้องและเป็นธรรม ยกตัวอย่างให้เห็นง่าย ๆ เช่น หากเกิดช้าไปหรือเร็วไปสัก 10 ปี อายุก็ไม่เหมาะสมที่จะเจอเพื่อนสนิท คู่รัก คู่แค้น ที่จะต้องมาชดใช้กรรมกันในชาติใหม่ หรือเกิดผิดจากตำบลที่ควรเกิดไปหลายร้อยหรือหลายพันกิโลเมตร การพบเจอหรือปฎิสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันในชาติใหม่(จากกรรมในชาติก่อน) ก็ไม่เหมาะสมเท่ากับมาเกิด ณ ตำบลนั้น ๆ เป็นต้น

          วิชาโหราศาสตร์เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เมื่อหลายพันปีที่ผ่านมามีความเชื่อว่า มนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รวมทั้งสิ่งไม่มีชีวิต เช่นโลก ดวงดาว จักวาล ฯลฯ มีความเกี่ยวโยงปฎิสัมพันธ์กันหมด จึงมีการสังเกตุและทำสถิติว่า คนที่เกิด ณ เวลา วัน เดือน ปีนั้น ณ สถานที่ซึ่งเป็นจุดหนึ่งบนพื้นโลก และก็มาเทียบกับดวงดาวต่าง ๆ โดยเฉพาะในระบบสุริยะจักรวาล(ซึ่งเคลื่อนที่ไปตลอดเวลา) และมีอิทธิพลต่อโลกมากกว่าจักรวาลอื่น ๆ ที่ไกลออกไป หลังจากทำสถิติคือสังเกตุไปมาก ๆ เข้าจึงสรุปได้ว่า คนที่เกิดในกาละและเทศะอย่างนี้ มักจะมีเหตุการณ์ในอนาคตเป็นอย่างนี้ ก็เป็นที่มาของวิชาโหราศาสตร์แบบผูกดวงหรือพูดอีกทางหนึ่งก็ได้ว่า โหราศาสตร์เอาเวลาและสถานที่ ซึ่ง "ชนกกรรม" แต่งมาให้เกิดมาคำนวนร่วมกับดวงดาวในสุริยจักรวาล(ซึ่งเชื่อว่ามีปฎิสัมพันธ์กับโลกและมนุษย์ทั้งหลาย) รวมกับสถิติที่ได้มาจริงๆ จากมนุษย์ที่เกิด ณ เวลาและสถานที่ ที่แตกต่างกันมาสรุปว่า เกิดอย่างนี้จึงจะได้รับกรรมอย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นวิชาที่สังเกตุการเกิดผลแล้วย้อนไปหาเหตุก็คงได้

เพื่อให้มองภาพได้ชัดเจนขึ้น สมมุติให้
A คือกรรมที่ทำในอดีต
B คือชีวิตใหม่ที่เกิด (ชนกกรรม แต่งมาให้เกิด ณ วันเวลา สถานที่บนโลกที่เหมาะสม)
C คือผลกรรมในชีวิตใหม่

          กฎแห่งกรรมแสดงผลกรรมที่เป็น A ทำให้มีชีวิตใหม่ที่เป็น B และได้รับผลกรรมในชีวิตใหม่เป็น C (ซึ่งรวมกรรมที่ทำในชาติปัจจุบันด้วย)  โหราศาสตร์จากการสังเกตุและสถิติพบว่า คนที่เกิดที่ B มักจะมีอนาคตเป็น C คนที่เกิด B1 ก็มักจะมีอนาคตเป็น C1 หากเกิด B2 ก็มักจะมีอนาคตเป็น C2 เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แต่โหราศาสตร์จะมองไม่เห็น A แต่ก็พอจะสรุปได้ว่า เพราะ A คือกรรมที่นำมาแตกต่างกัน จึงทำให้มาเกิดเป็น B ซึ่งแตกต่างกัน และได้รับผลกรรม C ที่แตกต่างกันไปด้วย

          กฎแห่งกรรมแสดงกรรมต่าง ๆ ในอดีตชาติที่ทำทั้งหมด สมมุติ A และชนกกรรมส่งปฎิสนธิวิญญาณมาเกิดเป็นชีวิตใหม่ ที่ B โดยจะได้รับผลกรรมในชีวิตใหม่เป็น C อย่างไรก็ดีต้องไม่ลืมว่าผลกรรมในชีวิตใหม่ที่เป็น C นั้น เป็นผลกรรมในอดีต A และผลกรรมที่ทำใหม่ในชาติปัจจุบันด้วย

          กฎแห่งกรรมกำหนดชะตาชีวิตของสัตว์โลกทั้งปวง แต่โหราศาสตร์ก็มีจริงและเชื่อถือได้ (ไม่ 100% เพราะองค์ประกอบหนึ่งของโหราศาสตร์คือสถิติ) รูปนามทั้งหลายทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิตในสากลจักรวาลนี้มีความเกี่ยวโยงหรือมีปฎิสัมพันธ์กันเสมอ มากน้อยตามแต่เหตุและปัจจัย

          โหราศาสตร์คือวิชาการทำนายโชคชะตาชีวิตของคน รวมทั้งของบ้านเมืองและของโลกด้วย มีหลายวิธี เช่น การผูกดวง ดูลายมือ ไพ่ยิป ฯลฯ คนเชื่อโหราศาสตร์ก็มีมาก คนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็มีมาก คนที่ไม่เชื่อก็มีมากเช่นกัน (คนที่ไม่เชื่อนี้ พอมีเคราะห์กรรมหนักหนาสาหัสหน่อย ก็ถอยมาเป็นแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งไปดูหมอกันมีไม่น้อย) วิถีชีวิตของคนเราเป็นไปตามกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น ดวงดาวต่าง ๆ ในวิชาโหราศตร์ซึ่งหมอดูเอามาคำนวนทางโหราศาสตร์ ย่อมไม่มีผลต่อชะตาชีวิตของใครแต่อย่างใด เพียงแต่วิชาโหราศตร์บอกแนวโน้มที่ควรเป็นไปของชีวิตเท่านั้น



บทความ
กฎแห่งกรรมกับโหราศาสตร์




หนังสืออ้างอิงเพื่อการค้นคว้าเพิ่มเติม
- ตามหาความจริง วิทยาศาสตร์กับพุทธธรรม ศาสตร์ที่เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
  โอฬาร เพียรธรรม  กรุงเทพ : ธรรมดา
- หลักกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด
   วศิน อินทสระ  กรุงเทพ : ธรรมดา
- กฎแห่งกรรม
   พระเทพวิสุทธิกวี  กรุงเทพ : มหามกุฏราชวิทยาลัย




                                                                   กลับ