8.10.53

ได้อะไรจากถังที่แตกร้าว



ชายชาวจีนคนหนึ่งแบกถังน้ำสองใบไว้บนบ่าเพื่อไปตักน้ำที่ริมลำธาร

ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ

และสามารถบรรจุน้ำกลับมาได้เต็มถัง แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล

จากลำธารกลับสู่บ้าน จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ดำเนินมาเป็นเวลา 2 ปี ที่คนตักน้ำสามารถตักน้ำกลับมาบ้านได้หนึ่งถังครึ่ง

ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานเป็นอย่างยิ่ง

ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตกก็รู้สึกอับอายต่อความบกพร่องของตัวเอง

มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันทำหน้าที่ได้เพียงครึ่งเดียวของจุดประสงค์ ที่มันถูกสร้างขึ้นมา

หลังจากเวลา 2 ปี ที่ถังน้ำที่มีรอยแตกมองว่าเป็นความล้มเหลวอันขมขื่น

วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า

"ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหล

ออกมาตลอดเส้นทางที่กลับไปยังบ้านของท่าน"

คนตักน้ำตอบว่า

"เจ้าเคยสังเกตหรือไม่ว่ามีดอกไม้เบ่งบานอยู่ตลอดเส้นทางในด้านของเจ้า

แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่งเพราะข้ารู้ว่าเจ้ามีรอยแตกอยู่

ข้าจึงได้หว่านเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ลงข้างทางเดินด้านของเจ้า

และทุกวันที่เราเดินกลับ ... เจ้าก็เป็นผู้รดน้ำให้กับเมล็ดพันธุ์เหล่านั้น

เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นกลับมาแต่งโต๊ะกินข้าว

ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้"

คนเราแต่ละคนย่อมมีข้อบกพร่องที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น

อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจและกลายเป็นบำเหน็จรางวัลของชีวิตได้

สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น

และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง

มองโลกหลาย ๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น


                                                                                    กลับ


                             

เลื่อนตัวเองขึ้น แต่อย่าลดคนอื่นลง




อาจารย์คนหนึ่งชวนลูกศิษย์เดินไปตามชายหาด ช่วงหนึ่งของการสนทนา

อาจารย์ใช้ไม้เท้าขีดเส้นสองเส้นลงไปบนผืนทราย เป็นเส้นคู่ขนาน ยาว 5 ฟุต และ 3 ฟุต

ตามลำดับ

อาจารย์กล่าวว่า " เธอลองทำให้เส้น 3 ฟุต ยาวกว่าเส้น 5 ฟุต ให้ดูหน่อยสิ "

ลูกศิษย์หยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจลบรอยเส้นที่ยาว 5 ฟุต นั้นให้สั้นลงจนเหลือเพียง 1 ฟุต

จึงทำให้เส้น 3 ฟุตโดดเด่นขึ้นมา

แล้วศิษย์ก็สบตาอาจารย์พลางขอความเห็นว่า " เช่นนี้ ใช้ได้หรือยังครับ "

อาจารย์เขกหัวศิษย์เบา ๆ แล้วบอกว่า

" คนที่คิดจะยกตนเองให้สูง ขึ้นโดยการทำร้ายคู่แข่งนั้นไม่ใช่วิธีที่ดีถ้าเลือกใช้วิธีนี้

ชีวิตเธอก็มีแต่จะล้มเหลวไม่พัฒนาทางที่ดีควรเลือกวิธีที่จะยกตัวเองขึ้น โดยไม่ไปลดคนอื่นลง "

แล้วอาจารย์ก็ขีดเส้น 2 เส้นให้เท่าเดิม คือ 3 ฟุต และ 5 ฟุต

แล้วอาจารย์ก็สาธิตให้ดู ด้วยการขีดเส้น 3 ฟุตให้ยาวขึ้นเป็น 10 ฟุต แล้วกล่าวว่า

" จงอย่าคิดว่าคู่แข่งของเธอคือศัตรูแต่ให้คิดว่าเป็นครูของเธอ ที่เธอจะต้องพัฒนาตนเองให้เทียบเท่าหรือดีกว่า "

เขาคือคนสำคัญที่จะทำให้เธอได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างาม หากไร้คู่แข่งแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า

ตัวเองมีศักยภาพในการทำงานขนาดไหนไม่มีอัปลักษณ์ก็ไม่รู้จักสวยงาม

นักสู้ที่ดีมักชื่นชมคู่ต่อสู้ที่เข้มแข้ง เพราะคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอจะทำให้ชัยชนะของเขาไม่ยั่งยืนยง

เมื่อได้พบกับคู่แข่งที่แกร่งและฉลาดล้ำก็ยิ่งทำให้เรารู้จักขยับตัวเองขึ้นไปให้สูงส่งยิ่งขึ้น

คนที่พยายามจะเลื่อนตัวเองขึ้นไป โดยการฆ่าน้องฟ้องนายและขายเพื่อน ถึงแม้จะทำให้สำเร็จ

แต่นั่นก็เป็นความสำเร็จที่ปราศจากเกียรติคุณ ไม่อาจเอ่ยอ้างได้อย่างเต็มภาคภูมิ

การเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยวิธีที่ไม่ชอบธรรมกับการเลื่อนตัวเองขึ้นไปโดยปล่อยให้คนอื่น

ได้ก้าวไปตามวิถีทางของเขาอย่างเสรีนั้นย่อมมีผลลัพธ์ที่ต่างกัน

การเลื่อนตัวเองขึ้นพร้อมกับลดคนอื่นลง เธออาจจะชนะแต่ก็มีศัตรูเป็นของแถม

แต่การเลื่อนตัวเองขึ้นโดยไม่ลดคนอื่นลงเธออาจเป็นผู้ชนะพร้อมกับมีเพื่อนแท้เพิ่มขึ้นมากมาย

และหนึ่งในนั้นอาจเป็นคู่แข่งหรืออดีตศัตรูของเธอเอง ด้วยเป็นสังคมแห่งความสำเร็จบน

พื้นฐานของมิตรภาพโดยแท้



                                                           กลับ


           

กบฟุ้งซ่าน




กบฟุ้งซ่านตัวหนึ่งนั่งอยู่ข้างกำแพงวัด ทุกเช้ามันเฝ้าดูพระออกบิณฑบาตตั้งแต่เช้ามืด
พอพระกลับมาถึงวัดเพื่อฉันเช้ากบมันนึกในใจอยากเกิดเป็นพระ เป็นพระสบายดี
มีคนถวายอาหารให้กินทุกวัน เมื่อพระฉันเสร็จก็นำอาหารที่เหลือมากมายนั้น
ไปให้เด็กวัดกินต่อแล้วเด็กวัดก็กินกันอย่างเอร็จอร่อย

ตอนนี้กบเปลี่ยนใจ อยากเกิดเป็นเด็กวัดแล้วเพราะสบายกว่าพระ
มันเห็นเด็กวัดหลายคนตื่นสายได้ และไม่ต้องออกตามพระไปบิณฑบาตก็ได้
สบายกว่าเยอะเลย เมื่อเด็กวัดกินเสร็จก็โกยอาหารที่เหลือทั้งหมดให้หมาวัดไปกิน
แล้วเด็กวัดทุกคนก็ไปช่วยกันล้างจาน

ถึงตอนนี้กบเปลี่ยนใจ! ! อยากเกิดเป็นหมาวัดแล้ว
เพราะไม่ต้องล้างจานเหมือนเด็กวัดสบายกว่า…..
พอหมาวัดกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายไปทำหน้าที่เฝ้าบริเวณวัดคอยเห่าคนแปลกหน้า 
ฝูงแมลงวันก็บินมาตอมและกินอาหารต่อจากหมาวัด

ถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจอีกแล้ว อยากเกิดเป็นแมลงวันเพราะสบายที่สุด
ไม่ต้องทำอะไรเลยหนำซ้ำ ยังมีกองอาหารให้กินไม่มีหมดด้วย

ขณะที่เจ้ากบฟุ้งซ่านกำลังคิดเพลินๆ อยู่นั้นพอดีหันมาเห็นแมลงวันบินมาใกล้ๆ
จึงใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงวันเข้าปากตัวเองโดยสัญชาตญาณ

ถึงตอนนี้ กบฟุ้งซ่านจึงบรรลุธรรมฉับพลัน ( Sudden knowledge )
คิดได้ว่า เฮ้อ ! เป็นตัวของเราเองนี่แหละ ดีที่สุดเเล้ว(The best to be yourself )
จงเชื่อมั่นในตัวเอง (  Be yourself ! ! )


                                                            กลับ